๘ ข้อหา ‘ปิยบุตร’ – ผักกาดหอม

๓. “กษัตริย์กับนายกรัฐมนตรี ใครมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งกันแน่?” โพสต์เมื่อ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๔ https://www.facebook.com/…/a.22603897…/3105582616392267/

๔.ข้อความทวิตเตอร์กล่าวว่า “ในสังคมหนึ่ง ความคิดคนแต่ละคนแตกต่างกันมากมาย มีคนรัก คนเฉยๆ คนไม่ชอบ ถึงบังคับยังไงก็ไม่เปลี่ยนความคิดเลย แต่ทำอย่างไรที่เราจะอยู่ในสังคมเดียวกันได้ เหลือทางเดียวคือเปิดให้มีเสรีภาพในการแสดงออก แล้วอดทนอดกลั้นซึ่งกันและกันต่อความเห็นที่แตกต่าง” https://twitter.com/Piyabutr_FWP/status/1457578245369393154

๕.ข้อความทวิตเตอร์กล่าวว่า “ประยุทธ์ตบหัวลูกน้องอ้างว่าทำด้วยความเอ็นดู ดังนั้น ประยุทธ์ก็ยอมให้ลูกพี่ตนเองตบหัวด้วยความเอ็นดูเช่นกัน ปัญหามีอยู่ว่าในสายตาของประยุทธ์ ประชาชนไม่ใช่ลูกพี่ของเขา แล้ว ‘ลูกพี่’ ของเขาคือใคร? ต้องไปดูว่า ‘ใคร’ ที่ตบหัวสั่งประยุทธ์ แล้วเขาไม่หือ ยิ้มรับ และยอมทำตามสั่ง” https://twitter.com/Piyabutr_FWP/status/1443897877030334465

๖.ข้อความทวิตเตอร์กล่าวว่า “สภาพสังคมปัจจุบันนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงได้อย่างสันติ แต่การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ  ศาล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่รักษาสถาบันกษัตริย์ไว้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญต่างหากที่เป็นไปได้และทำให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” https://twitter.com/Piyabutr_FWP/status/1452124952828678144

๗.ข้อความทวิตเตอร์กล่าวว่า “ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรระหว่าง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง ที่มีกองทัพ  ระบบราชการ และทุนผูกขาดค้ำจุนหรือ ระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด และมีกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ https://twitter.com/Piyabutr_FWP/status/1457714324810526724

๘.ข้อความทวิตเตอร์กล่าวว่า “ปฏิรูปไม่ใช่ล้มล้าง แต่ถ้าคนเรียกร้องปฏิรูป คือล้มล้าง หรือนำไปสู่ล้มล้างนั่นเท่ากับว่าบีบให้เลือก ๑ ไม่ปฏิรูปเพื่อไม่ใช่ล้มล้าง หรือ ๒ ล้มล้างให้ราบเป็นหน้ากลอง เพื่อไม่ให้ใครบอกว่าเป็นล้มล้าง  คำตัดสินของคนไม่กี่คนชี้ชะตาประเทศ ประตูปฏิรูปมี อย่าปิดประตูปฏิรูป” https://twitter.com/piyabutr_fwp/status/1458148659862724610

และตามที่ “ปิยบุตร” บอกคือ ตำรวจเห็นว่ามีเพียง ๑  ข้อความที่อาจเข้าข่ายกระทำความผิด ม.๑๑๒ นั่นคือข้อความตามข้อ ๖

มุมมอง “ปิยบุตร” บอกว่าถ้าวิญญูชนอ่านแล้วก็พินิจพิเคราะห์ได้ว่าไม่มีตรงไหนเข้าความผิดตาม ม.๑๑๒ เลย  แต่เมื่อตำรวจมีความเห็นเช่นนี้ ก็ต้องเตรียมต่อสู้คดีกันต่อไป

และอีกประโยคบอกว่า

“…การแสดงความเห็นเช่นนี้ยังถูกกล่าวโทษ แล้วจะเหลือทางเลือกไหนบ้างในสังคมไทย ตกลงแล้วเราจะปิดพื้นที่ไม่ให้พูดคุยกันในที่สาธารณะไม่ได้เลยหรือไม่ทั้งที่  ม.๑๑๒ ไม่ได้ห้ามพูดถึงสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด ตกลงสังคมไทยจะอยู่กันอย่างไร ถ้าการพูดจาแบบมีเหตุผลวิชาการกลับถูกดำเนินคดี เราจะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้ดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างไร…”

ทีนี้มาดูกัน ทั้ง ๘ ข้อ เข้าข่ายผิด ม.๑๑๒ หรือไม่

แน่นอนครับ ม.๑๑๒ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมานานแล้ว

ช่วงหลังชักจะถี่ขึ้น

ปัญหาอยู่ตรงไหน

สถาบันพระมหากษัตริย์มีปัญหาหรือไม่

หรือเพราะความขัดแย้งทางการเมืองดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาสู่ความขัดแย้งด้วย เพราะชุดความเชื่อที่ว่าไทยปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง

เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ความขัดแย้งทางการเมืองจะขยายอย่างกว้างขวาง แทบไม่เคยได้ยินใครพูดว่า ไทยยังปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ทุกคนเห็นตรงกันว่า เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น

แต่ช่วงหลังมีการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในมุมมองที่เปลี่ยนไป

ขบวนการ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า จากที่แอบพูดกัน มาวันนี้พูดบนเวทีปราศรัย

และมีประเด็นเลยเถิดไปมากมาย ทั้งที่ตั้งใจและเผลอไป

แต่กว่าจะมาถึงจุดที่มีการยื่นข้อเสนอ ๑๐ ข้อปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการปูพื้น ใส่ชุดความคิดมาต่อเนื่อง หลายระดับ

แล้วใครอยู่เบื้องหลัง

ม.๑๑๒ มีคนต้องการฟ้องเพราะเห็นว่า มีการละเมิดพระมหากษัตริย์

เช่นเดียวกัน มีคนอยากถูกฟ้อง!

ไม่ผิดหรอกครับ การบ่มความคิด บวกกับอุปาทานหมู่  มีนักเคลื่อนไหวบางส่วนไม่กลัว ม.๑๑๒ ไม่กลัวว่าจะต้องนอนคุก

เพราะภาพที่ออกมาคือฮีโร่ในสายตาพวกเดียวกัน

ใช่ครับ นักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่ง ต้องการให้มีการฟ้อง ม.๑๑๒ ในจำนวนที่มากพอที่จะนำไปเป็นเหตุประจานประเทศไทย

ตรรกะง่ายๆ แกนนำม็อบบางคนเป็นนักกฎหมาย บางคนเรียนกฎหมาย บางคนเคลื่อนไหวมาจนช่ำชอง จะไม่รู้เลยเชียวหรือว่า สิ่งที่พูดไปคือเข้าข่ายความผิด ม.๑๑๒

รู้ครับ

แต่เพราะความเชื่อที่ว่าการเปลี่ยนแปลงต้องสร้างสถานการณ์

ฉะนั้นเราจึงเห็นแกนนำม็อบหลายคน พูดสุ่มเสี่ยงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบ่อยครั้งจนผิดวิสัย

และสุดท้ายทยอยเข้าคุก

เมื่อผลไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งหมดยอมรับเงื่อนไขประกันตัว ทั้งๆ ที่ช่วงแรกของการอยู่ในคุก ประกาศเสียใหญ่โต

จะพลีชีพอยู่ในคุก

ปัจจุบันสถานการณ์อยู่ในช่วงพักยก จนกว่าจะมีการเตรียมความพร้อมเพื่อกลับมารุกใหม่ เราจะได้เห็นการเคลื่อนไหวที่พร้อมเข้าคุกกันอีกรอบ

กรณี “ปิยบุตร” นั่นต่างออกไป

ด้วยความเป็นนักกฎหมายจึงมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองสื่อออกมา ไม่มีทางที่จะเข้าข่าย ม.๑๑๒ ได้

และทำมาร่วม ๑๐ ปีแล้ว

ส่งต่อไปยังลูกศิษย์ลูกหากี่รุ่นแล้ว

แต่ “ปิยบุตร” อาจประเมินพลาดไป

เพราะนอกจากการสื่อออกมาเป็นคำพูดและตัวหนังสือแล้ว ยังมีเรื่องของพฤติกรรมด้วย

พฤติกรรมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของ “ปิยบุตร”  เป็นอย่างไรบ้าง

๘ ข้อที่ “เทพมนตรี” ฟ้องนั้น ต้องดูพฤติกรรมของ “ปิยบุตร” ที่แสดงออกต่อสาธารณะประกอบด้วย

นี่อาจเป็นคำตอบว่าสุดท้ายแล้ว “ปิยบุตร” มีความผิดตาม ม.๑๑๒ หรือไม่