ผักกาดหอม
มีข่าวดีมาบอก….
วานนี้ (๑๐ มิถุนายน) ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-๑๙ ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เสวนาความก้าวหน้าของวัคซีน ChulaCov19 ภายในงาน MDCU’s Next Step in Research & Innovation ครบรอบวาระ ๗๕ ปี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
ตามนี้ครับ….
“…ความคืบหน้าของวัคซีน ChulaCov19 ผลิตเสร็จเรียบร้อยในฐานการผลิตที่ประเทศไทย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) คู่ขนานกับการเปิดรับอาสาสมัครจำนวน ๓๖ คน อายุประมาณ ๑๘-๖๐ ปี ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมากในการหาอาสาสมัครเพื่อทดสอบวัคซีนที่ผลิตในไทย
จึงได้มีการวางแผนหาข้อตกลงในการทดสอบในอาสาสมัครต่างประเทศด้วย เพื่อให้วัคซีนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
และคาดว่าวัคซีนจะได้รับการขึ้นทะเบียนภายในสิ้นปี ๒๕๖๕ ไม่เกินต้นปี ๒๕๖๖ ที่คนไทยจะได้รับวัคซีน ChulaCov19
แนวโน้มทั่วโลกจะมีการผลิตวัคซีนโควิด-๑๙ รุ่นที่ ๒ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนโมเดอร์นา และวัคซีนไฟเซอร์ ที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ ๒ แล้ว และหากมีการประกาศเตรียมขึ้นทะเบียนภายในต้นปีหน้า ทางจุฬาฯ ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมต้นแบบสำหรับวัคซีน ChulaCov19 (รุ่นที่ ๒) เพื่อผลิตและทดสอบในอาสมัครได้ทันที
สำหรับการเตรียมประกาศให้โควิด-๑๙ เป็นโรคประจำถิ่นนั้น การฉีดวัคซีนก็ยังคงจำเป็นเหมือนกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่จะมีการเข้ารับวัคซีนทุก ๑-๒ ปี….”
บางคนอาจคิดว่าตลาดวายแล้ว วัคซีนสัญชาติไทย เพิ่งจะมา ไม่จริงหรอกครับ เรายังอยู่กับโควิดไปอีกสักพักใหญ่
เพราะจากนี้ไปมันคือโรคประจำถิ่น
ความสำคัญของ วัคซีน ChulaCov19 ที่คนไทยมองข้ามไปไม่ได้นั่นคือ ไทยเรามีวัคซีนโควิด-๑๙ เป็นของตัวเองแล้ว
ถึงจะช้าหน่อย แต่ในวันข้างหน้านี่คือพื้นฐานของการผลิตวัคซีนเวอร์ชันถัดๆ ไป
มีไม่กี่ประเทศครับที่สามารถผลิตวัคซีนโควิด-๑๙ ด้วยตัวเอง และส่วนใหญ่เป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกทั้งนั้น
ฉะนั้นความสำเร็จของไทย จะส่งผลดีในระยะยาว
อย่างแรก ลดการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ ลดดุลการค้าที่ต้องเสียไป
ถัดมา ไทยสามารถต่อยอดวัคซีนให้มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยตัวเอง เพราะเรามีองค์ความรู้แล้ว การพัฒนาหลังจากนี้จึงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง
ฉะนั้นเตรียมตัวครับ คราวนี้เต็มแขนอย่างเต็มภาคภูมิ
ไทยทำไทยใช้ไทยเจริญของจริง
นี่คือหนึ่งในตัวอย่าง ที่ภาครัฐและประชาชนต้องให้การสนับสนุน ประเทศจะพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด ไม่ใช่รอรายได้จากการท่องเที่ยวครับ
ต้องเป็นเจ้าของนวัตกรรมให้ได้
การเป็นเจ้าของนวัตกรรมต้องมีงานวิจัยเป็นเบื้องต้น
ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรครับ มีการพูดกันมานานพอควรแล้วว่า งบประมาณเกี่ยวกับงานวิจัยนั้นรัฐต้องทุ่มให้มาก
ในทางการเมืองงบประมาณส่วนนี้เอาไปหาเสียงไม่ได้ครับ ฉะนั้นเราไม่ค่อยเห็นว่ามีพรรคการเมืองไหนให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ
ผิดกับการพูดถึงงบสวัสดิการ ลด แลก แจก แถม ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากกว่า
ประเทศที่ไม่มีงานวิจัย ไม่มีทางเป็นเจ้าของนวัตกรรมได้
ประเทศที่มีงานวิจัยขยะไร้คุณภาพเยอะ ก็เป็นเจ้าของนวัตกรรมไม่ได้เช่นกัน
ขณะที่ประเทศไทยรู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่าอยู่ในระดับไหนของแผนที่โลก
ฉะนั้นหากอยากเป็นประเทศพัฒนาแล้ว อยากให้ประชาชนกินดีอยู่ดี เราต้องส่งออกสิ่งที่เรียกว่า “นวัตกรรม” ให้ได้มากที่สุด
ข่าวดีไปแล้ว ข่าวร้ายก็ตามมา
นักการเมือง ผู้ซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบายของประเทศยังคงวนในอ่าง ยังคิดแค่เรื่องอำนาจ
ทำอย่างไรให้ได้อำนาจมา
แต่การใช้อำนาจเพื่อใครก็ยังเป็นคำถามที่ลอยมาเรื่อยๆ
พูดถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ภายใต้ยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” มีการโหมโรงฉายหนังตัวอย่างว่าคราวนี้เด็ดหัว “ลุงตู่” ได้แน่
ส่วนนั่งร้านจะถูกรื้อจนไม่มีที่เหลือให้พรรคร่วมรัฐบาลยืน ก็โม้กันไปครับ เพราะทุกครั้งที่มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เกทับ บลัฟแหลก กันอย่างนี้
มีอยู่เรื่อง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ก็คือ การซักฟอกเพื่อล้มรัฐบาลในครั้งนี้ ฝ่ายค้านหวังยืมจมูกคนอื่นหายใจ
ฝ่ายค้านคงประเมินว่าครั้งนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะล้มรัฐบาลลุงตู่
ความเป็นไปได้ที่ว่ามาจาก “ธรรมนัส พรหมเผ่า” หอบหิ้ว ๑๘ ส.ส.จากพลังประชารัฐ ไปสังกัดค่ายใหม่ พรรคเศรษฐกิจไทย
บวกกับ ส.ส.พรรคเล็ก ที่น่าจะทำให้เปลี่ยนใจไปเข้ากับฝ่ายค้านได้
หากปฏิบัติการย้ายข้างสำเร็จ ก็ล้มรัฐบาลได้
และครั้งนี้ก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง
อยู่ที่การเจรจาผลประโยชน์ลงตัวหรือไม่
ยิ่งได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” วานนี้ เพื่อไทยก็น่าจะจินตนาการเห็นถึงอำนาจชัดเจนขึ้น
มีประเด็นถามตอบที่น่าสนใจครับ
ถาม : ขณะนี้รัฐบาลยังไม่สามารถนับพรรคเศรษฐกิจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่
ตอบ : ยืนยันว่าอยู่ข้างประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งอะไร
ถาม : หากมีการต่อรองหรือปรับ ครม. แล้วให้โควตาพรรคเศรษฐกิจไทยจะทำอย่างไร
ตอบ : ไม่ต้องมาพูดกัน ประเด็นนี้ตัดทิ้งได้เลย ไม่รับ
ถาม : รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐคนอื่นๆ จะลงมติอย่างไร
ตอบ : บอกตามตรงว่าทุกคนน่าเป็นห่วงหมด ยกเว้น พล.อ.ประวิตร
ถาม : ช่วงนี้ได้คุยกับ พล.อ.ประวิตร และเป็นห่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่
ตอบ : ได้คุยบ้าง ท่านบอกว่าปีสุดท้ายแล้วก็ปล่อยเสรี
ฟังแล้วมันรื่นหูสำหรับพรรคฝ่ายค้าน อย่างน้อยๆ ก็มีความหวังว่าครั้งนี้ใกล้เคียงที่สุดกับคำว่า “ล้มรัฐบาล”
การอ้างคำพูด “ลุงป้อม” ว่าปีสุดท้ายแล้วปล่อยเสรี มีความหมายทางการเมืองมาก หากการปล่อยเสรีที่ว่านี้คือการโหวตในสภา
แต่หากมีความหมายเช่นนั้นจริง มันก็จะย้อนกลับไปหา “ลุงป้อม” เท่ากับเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของพรรคเศรษฐกิจไทย
ถูกร้องยุบพรรคได้
แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่ฝ่ายค้านจะสนใจเรื่องนี้ หากพรรคเศรษฐกิจไทยจะทิ้งรัฐบาลจริง
รวมทั้งไม่สนใจเรื่องที่ฝ่ายค้านเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประเด็นยาเสพติดที่ออสเตรเลียด้วย
ครับ…การเมืองไทยมันจะเป็นอะไรประมาณนี้ เพราะลำพังเสียงฝ่ายค้านมันล้มรัฐบาลไม่ได้
แต่หากมีเสียงของพรรคเศรษฐกิจไทยมาช่วย มันก็มีโอกาส
นี่คือประเด็นการเมืองนะครับ ไม่ใช่ข่าวบันเทิง
หากใครมองว่า บันเทิง แสดงว่าเข้าใจการเมืองไทยได้ทะลุปรุโปร่งจริงๆ และยอมรับสภาพที่มันจะดำเนินต่อไปได้
จนกว่าจะเด็ดหัวกันหมดครับ