เปลว สีเงิน
นึกแล้ว “คงซักวัน” แล้ววันนั้น มันก็มาถึงจนได้!
ในที่สุด “มือปราบหวยแพง”……..
“ดร.เสกสกล” หรือ “แรมโบ้” ก็ถูกพลัง “ดัชนีมังกรฟ้า” จี้จุดคี้มึ้ง อย่างจัง!
โบราณบอก การฆ่าที่สุนทรมี ๓ ขั้นตอน ขั้นตอนแรก ต้องทำให้ “ไว้เนื้อเชื่อใจ” ขั้นตอนที่สอง ต้องทำให้ “ตายใจ” จากนั้น ถึงขั้นตอนที่สาม
ทำให้ “ตายทางเกียรติยศและทางความเชื่อถือ”!
ดร.เสกสกลนั่นน่ะ แค่เป้ารอง
นายกฯ ประยุทธ์ตะหากคือ “เป้าหลัก”!
ในเมื่อขบวนการในและนอกชาติ ผนึกกำลังกันถล่มทั้งในระบบ-นอกระบบ พยายามโค่นล้ม เพื่อกำจัดนายกฯ ออกไปให้พ้นเส้นทาง “อำนาจเปลี่ยนประเทศ” มา ๖-๗ ปีแล้ว แต่ไม่สำเร็จ
นายกฯ เก่งหรือ…?
นายกฯ มากอิทธิพล-มากบารมีทั้งลับและแจ้งหรือ รวมหัวถล่มกันจะๆ แจ้งๆ ทั้งในสถา ในถนน ในสื่อ ในสถาบันศึกษาเป็นปีๆ อย่างที่เห็น ก็ยังล้มนายกฯ ไม่ได้?
คำตอบคือ “ไม่ใช่เลย!”
ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ในทางการเมืองระบบสภาทุกวันนี้ นายกฯ เหมือน “ปูลอกคราบ” มาตลอด
“รัฐบาลเสียงข้างมาก” ทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ทำให้นายกฯ มั่นใจได้สนิทนักว่า แต่ละครั้งที่โหวต
เสียงข้างมากนั้น จะเป็นกระดองแข็งแกร่ง ทำหน้าที่ปกป้องเนื้อให้!?
ในสภาผู้แทน ถือว่านายกฯ “ร่อแร่”
ร่อแร่แล้ว แต่ทำไมล่ะ ในเมื่อถูกทั้งเล่ห์ ทั้งมนต์ ทั้งหนังหน้า-หน้าด้านสารพัดรูปสาดใส่แบบขนาดนั้นแล้ว ก็ยังล้มไม่ได้ซักที?
นั่นก็เพราะ นายกฯ มี “สภาประชาชน” จากทุกภาคส่วนของประเทศ เป็นกระดองที่แข็งแกร่งให้นั่นเอง
พวกสภา ๕๐๐ จึงล้ม “นายกฯ ของ” สภาประชาชน “ไม่ลง!!!
เป็นไปได้อย่างไร ที่คนไทย ๕๐-๖๐ ล้านจะรักนายกฯ-เอานายกฯ พูดเวอร์ไปมั้ง?
ใช่…
ถ้าพูดโดยไม่แจงเหตุและผล มันเวอร์ชวนอ้วกแน่!
ไม่มีใครรักนายกฯ ประยุทธ์ถึง ๕๐-๖๐ ล้านคนหรอก แต่ในทางเดียวกัน….
ก็ไม่มีใครเกลียดและปฏิเสธการเป็นนายกฯ ของพลเอกประยุทธ์ถึง ๕๐-๖๐ ล้านคนเช่นกัน
นั่นคือ นายกฯ มีทั้งคนรัก-คนชัง และคนเบื่อกับผู้นำที่อยู่นานๆ เพราะนั่นคือธรรมชาติมนุษย์ อะไรที่จำเจ ถึงดี ก็เบื่อ
ในรัก-ในชัง-ในเบื่อ…….
ถามว่า ตั้งแต่มีนายกฯ มา มีใคร-ยุคไหน ยกเว้นยุคป๋าเปรม ที่เข้ามาพัฒนาบ้านเมือง พัฒนาอาชีพ การทำมาหากิน ดูแลความเป็นอยู่ ช่วยเหลือชาวบ้าน คนยาก-คนจน ผู้เฒ่า-ผู้แก่ ตามฐานานุรูปอย่างนายกฯ ประยุทธ์เห็นผลเป็นรูปธรรมจับต้องได้บ้าง?
มียุคไหน รัฐบาลไหน เข้ามาทำถนนหนทาง โดยเฉพาะรถไฟไปเชียงราย-เชียงของ ฝันไม่เคยเป็นจริงมาเกือบร้อยปี พอนายกฯ ประยุทธ์มา ๒-๓ ปี
“ฝันเป็นจริง” แล้วขณะนี้!
โครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ “บ้านไผ่-มุกดาหาร- นครพนม” ไปสุดทางที่สถานีรถไฟสะพานมิตรภาพ ๓ ไทย-ลาว ที่น้องอีสานก็คอยแห้ง-คอยแล้งมาตลอด
พลเอกประยุทธ์ “จัดให้”
ตอนนี้ เวนคืนพื้นที่ก่อสร้างเรียบร้อย ระยะทางราวๆ ๓๕๐ กม.ใช้เวลาก่อสร้าง ๔ ปี เริ่มลงมือตั้งแต่ปี ๖๕ นี้แล้ว
เรียกว่า ทั้งเหนือ-อีสาน-กลาง-ใต้ กระทั่งกรุงเทพฯ ถ้าใครถ่ายรูปบ้านเมืองไว้แต่ปี ๕๙-๖๐ เก็บไว้
แล้วเอามาเทียบดูกับบ้านเมืองปัจจุบันวันนี้
ท่านจะตกใจ…. โอ้โฮ!
มันเป็นไปได้อย่างไร บ้านเมืองเรา ถนน-คู-คลองเปลี่ยนแปลงแปลกตาไปมากมายถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
เนี่ย…ที่ผมยกมาพูดหยาบๆ สำหรับคนที่รัก-ที่เข้าใจนายกฯ อยู่แล้ว ก็ยกไว้
แต่ที่เกลียด-ที่ชัง-ที่เบื่อนายกฯ แต่ด้วยธรรมในหัวใจประชาชน ลึกลงไปถึงจิตใต้สำนึก ไม่มีใครที่จะไม่ยอมรับว่า นายกฯ ประยุทธ์ ดุจวัว-ควาย
จะดุด่า-เฆี่ยน-ตี ขนาดไหน….
ก็ยังก้มหน้าเป็นวัวงาน ทำงานสร้างสุข-ขจัดทุกข์ให้คนดุ-ด่า-ทุบตีเสมอหน้า ไม่มีท้อ ไม่มีบ่น ไม่มีแบ่งแยก เกี่ยงงอน
วัว-ควายประยุทธ์ ๗ ปี ๘ ปี ในหน้าที่วัวงาน
กินแต่หญ้า กินแต่ฟาง….
ไม่เคยกินข้าวชาวนา แม้แต่เม็ดเดียว!
ไม่เคยกินสินบาท-สินบท ไม่เคยกินตามน้ำ-ใต้น้ำ ไม่เคยให้จักรวรรดิอำนาจลากจูงประทับตราเป็นสัตว์หน้าขน-คนขายชาติ!
ผู้มีธรรมในหัวใจ ถึงชัง เพราะเลือกข้าง แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะเป็นเครื่องมือให้ขบวนการล่มชาติ-ล่มสถาบันขับไล่ ผลักไสนายกฯ เต็มแรง-เต็มเหนี่ยว เชี่ยวกรากเหมือนยุค “แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา” เมื่อปี ๕๒-๕๓
ร่อนเปลือกอย่างนี้แล้ว จึงเห็น “แก่น” ที่แกร่งของนายกฯ
นั่นคือ……..
สัจจะ ดวงใจซื่อ ต่อชาติ ต่อสถาบัน ต่อประชาชน และสัจจะ-ดวงใจซื่อนั้น ตกผลึกเป็น “ศรัทธาและความเชื่อ” ในตัวนายกฯ จากมหาประชาชน!
ดังนั้น การจะล่มชาติ-ล้มสถาบันได้ ด่านแรก ก็ต้องล้มนายกฯ ประยุทธ์ให้ได้ก่อน
ในเมื่อนายกฯ มี “สภาประชาชน” หนุนหลัง ทางเดียวที่จะทำให้ประชาชนเลิกหนุนนายกฯ คือ
ต้องทำลาย “ศรัทธาและความเชื่อ” ของประชาชนในตัวนายกฯ!
ฉะนั้น จึงเห็นนายกฯ เป็นศูนย์กลางของการปั้นแต่งทุกความเลวร้าย ทุกเรื่อง ทุกปัญหา งานนอกหน้าที่ ก็ยัดเยียดให้เป็นหน้าที่
กระทั่งสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” ซึ่งเป็นเรื่องของเขา ก็ยังไปลากมาเป็นปัญหาของเรา “ให้เลือกข้าง” ไอ้นกมีหู-หนูมีปีกผู้ตั้งตนเป็นจอมกูรูทางโพสต์เฟซ ว่านายกฯ โง่บ้างละ ตามเกมไม่ทันบ้างละ ฮุนเซ็นยังฉลาดกว่าบ้างละ จีนไม่พอใจ เรียกไทยไปกระหนาบบ้างละ บลาาาาาาา
กระทั่งเรื่อง ดร.เสกสกล เค้าความยังไม่ทันกระจ่าง ทั้งไม่เกี่ยวนายกฯ โดยตรง ก็ลากเป็นเรื่องนายกฯ
เห็นเหี้ยนกระหือรือกันทุกฝ่าย
ขมีขมันรับลูก “ได้ทีแล้ว…ขยี้มัน” ออกหน้า-ออกตา จนเห็นเจตนาอาการ!
คือ ได้ทีก็กระพือโหมกันยกใหญ่ เพื่อ “ถอนศรัทธา-ความเชื่อ” ในตัวนายกฯ จากใจประชาชนนั่นแหละ
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ต้นปีมา โดยเฉพาะเดือนมีนา.นี้ มรสุมทุกลูก ถาโถมใส่นายกฯ เต็มๆ และหนักมาก
หนักจนผมแปลกใจ……..
ว่านายกฯ “ยืนสภาพ” ในภาวะผู้นำ ผู้หนักแน่นดุจขุนเขาได้อย่างไร “ใจแกร่ง” เกินกาย ช่างเหลือเชื่อ!?
ภาวะขนาดนี้ นายกฯ ยังรักษาบุคลิกภาพผู้นำได้เช่นนี้ ถ้าเป็นศึกสงคราม เมื่อแม่ทัพยืนผงาดกลางห่ากระสุน มีหรือ ที่ไพร่พลรบจะระย่อ
ย่อมฮึกเหิม รบสุดใจ-ขาดดิ้นกันไปข้าง อย่างนั้นจริงๆ
“ใต้ธงรบแม่ทัพที่เข้มแข็ง ย่อมไม่มีทหารเลว” ซุนวู กล่าวไว้ไม่ผิดจริงๆ!
นี่ก็เข้ามา ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีขาล ตรงกับวันพุธ ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
“วันจักรี”!
วันที่ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหาราช” เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
และทรงสถาปนา “กรุงเทพมหานคร” เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย เมื่อ ๒๔๐ ปีที่ผ่าน
คือ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๒๕
เป็นวาสนา เป็นบุญ หรือเป็นเวรกรรมของพลเอกประยุทธ์ก็ยากกล่าว
ที่ทำให้ท่านต้องเข้ามาทำหน้าที่ผู้นำบริหารในภาวะประเทศอยู่ท่ามกลางวิกฤติโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การคุกคาม และการเมืองเปลี่ยนโลก
รวมทั้งภาวะ “โรคระบาดใหม่” โควิดล้างโลก”!
วิกฤติโลกส่งผลวิกฤติประเทศประหนึ่ง “ทุกข์ซ้ำ-กรรมซัด วิบัติเป็น” เช่นนี้
ถ้าผู้นำไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ เป็นใครซักคน จากสภา ๕๐๐
แน่ใจได้เลย จะไม่มีเสียงบ่น-เสียงด่า-เสียงไล่นายกฯ
เพราะ สิ้นแรง-สิ้นเสียงกันไปหมดแล้ว
แค่จะยกมืออ้อนวอนจากสวรรค์ หรือค้อมต่ำเพื่ออ้อนวอนขอเศษน้ำข้าวจากคลับเฮาส์ ก็ไม่มี!
เพราะบุญคนไทย-บุญประเทศหรอก ฟ้าดินจึงส่งนายกฯ ประยุทธ์มารับบาปแทน
แต่จากนี้ไป……..
ต่อให้ “ฟ้าถล่ม-ดินทลาย” ใครก็ล้มนายกฯ ประยุทธ์ลงไม่ได้แล้ว จงเชื่อผม!