ผักกาดหอม
ก็ไม่รู้ซินะ
เลือกตั้งผู้ว่ากทม.ทีไรนึกถึง “สมิทธ สมิทธินันท์” ทุกที
ผ่านมากี่ยุคแล้ว ผู้สมัครผู้ว่ากทม. มีนโยบายอะไรบ้าง เอากันจริงๆ จำไม่ค่อยได้หรอกครับ
แต่ “สมิทธ สมิทธินันท์” คนกรุงจำขึ้นใจ
ไฟเขียวทุกสี่แยก
ปลูกกล้วยตรงเกาะกลาง
นำไปปฏิบัติได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่ไม่มีนโยบายทางการเมืองในประวัติศาสตร์ เป็นที่จดจำมากไปกว่านี้อีกแล้ว
มีคนบอกว่าแกเป็นคนเพี้ยนๆ
แต่วิเคราะห์ลงลึกไปจริงๆ นโยบายทุกแยกมีแต่ไฟเขียว ไฟเขียวที่ว่าอาจไม่ใช่ไฟสัญญาณจราจร แต่ทำอย่างไรให้รถไหลทุกแยกเหมือนมีไฟเขียวต่างหาก
อุโมงค์ลอดแยก ที่ขุดกันพรุนทั้งกทม.ในวันนี้ อาจหมายถึงสิ่งที่ “สมิทธ สมิทธินันท์” สื่อสารไว้เมื่อครั้งกระโน้นก็ได้
ไม่รู้ว่าปีนี้จะได้เห็น “สมิทธ สมิทธินันท์” นำนโยบายอันลือลั่นมาหาเสียงอีกหรือไม่ เพราะอายุอานามก็ร่วมๆ ๙๐ ปีแล้ว
ถ้ายังไหว คงเข้าคู่กับ “วรัญชัย โชคชนะ” อีกครั้ง
ครับ…สนามเลือกตั้งผู้ว่ากทม. รอบนี้อาจไม่ต้องลุ้นเท่า การเลือกตั้งเมื่อปี ๒๕๕๖ ที่หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร เฉือน พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ ไปร่วม ๒ แสนคะแนน
หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ๑,๒๕๖,๓๔๙ เสียง
พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ ๑,๐๗๗,๘๙๙ เสียง
โพลก่อนการเลือกตั้ง คุณชายสุขุมพันธุ์นำเกือบทุกโพล
มาเที่ยวนี้ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” นำโด่งทุกโพล
ตามมาห่างๆมี วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, อัศวิน ขวัญเมือง, สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ เป็นต้น
นี่คือปรากฎการณ์ที่จับต้องได้ในขณะนี้ แต่กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง ที่คาดกันว่าจะมีขึ้นภายในเดือนพฤษภาคมนี้ สถานการณ์ยังสามารถเปลี่ยนได้อีก
ถ้านับจากวันนี้ก็อีกกว่า ๒ เดือน แต่ความไม่ชัดเจนก็เกิดขึ้นหลายเรื่อง
และจะไม่ชัดเจนต่อไป
วานนี้ (๒๓ มีนาคม) “ลุงป้อม” ให้สัมภาษณ์เรื่องเลือกตั้งผู้ว่าฯ ฟังแล้วมันขัดๆ รูหูพิกล
ถามตอบตามนี้ครับ
นักข่าวถาม การประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรค พปชร.ในวันที่ 3 เม.ย.นี้ จะมีความชัดเจนเรื่องการสนับสนุนบุคคล ที่จะลงสมัครผู้ว่าฯกทม.หรือไม่
“ลุงป้อม” ตอบ “เรื่องของผม ไม่ใช่เรื่องของคุณ ไม่มีใครเขาอยากรู้ด้วยหรอก มีแต่คุณที่อยากรู้”
นักข่าวถามระหว่าง นายสกลธี ภัททิยกุล กับ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง จะสนับสนุนใคร
“ลุงป้อม” ตอบ สื่อจะเอาใคร จะเอาใครก็เอาคนนั้น
อยากบอก “ลุงป้อม” ว่า ประเด็นการเมือง ส่วนใหญ่ควรจะตอบให้ชัด ถ้าไม่อยากตอบก็แค่ปิดปากแล้วเดินหนี
เมื่ออ้าปากตอบ ต้องคำนึงถึงความน่าเชื่อถือด้วย
พูดแบบนี้บ่อยๆ สุดท้าย ไม่มีใครฟัง
ไม่เฉพาะคนกทม. แต่คนทั้งประเทศเขาอยากรู้ว่า พลังประชารัฐ ที่ “ลุงป้อม” เป็นหัวหน้าพรรค จะสนับสนุนใคร
การตอบว่าไม่ใช่เรื่องของคุณ ไม่มีใครอยากรู้ ถือเป็นการฆ่าพรรคพลังประรัฐแบบเอาขวานจามหัวเลยทีเดียว
อันที่จริงผู้สมัครผู้ว่ากทม. เป็นเรื่องของคนกรุง ไม่ใช่เรื่องของ “ลุงป้อม” เพียงคนเดียว เพราะผู้ว่ากทม.ต้องเข้าไปบริหารงบประมาณปีละเฉียดแสนล้านบาท
ไม่ใช่เข้าไปนับแบงก์ในกระเป๋ากางเกง “ลุงป้อม”
ฉะนั้น “ลุงป้อม” ต้องเปลี่ยน
ไม่เฉพาะเรื่องเลือกตั้งผู้ว่ากทม.เรื่องเดียว
เรื่องในพรรคพลังประชารัฐ เรื่องความนิยมของพรรค มันต้องได้ข้อมูลที่แท้จริง ไม่ใช่ฟังเฉพาะคนสอพลอบอกว่า ถูกครับนาย ใช่ครับท่าน
เตือนไว้ อย่าตกใจ ถ้าเห็นคะแนนนิยมที่แท้จริงพลังประชารัฐในกทม. ณ ขณะนี้
ก็ชัดเจนขึ้นอีกระดับหนึ่ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะออกประกาศกำหนดให้เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาวันศุกร์ที่ ๒๕ มีนาคมนี้ เป็นเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง
ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ใช้จ่ายได้ไม่เกินคนละ ๔๙ ล้านบาท
ไม่เยอะไม่น้อย เพราะพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง
แต่เขตใหญ่แบบนี้ ใครมีงบมากก็ได้เปรียบอยู่บ้างในเรื่องการประชาสัมพันธ์ ส่วนแนวคิด ทัศนคติ ไม่ต้องใช้เงิน เพราะเป็นเรื่องติดมากับตัว
วันนี้เริ่มเห็นนโยบายว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากทม.กันบ้างแล้ว แต่ที่อยากพูดถึงคือ นโยบายของ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล
“…ปัญหาน้ำท่วม การลอกท่อเป็นวิธีการแก้ปัญหาและเป็นเรื่องง่ายที่สุดในการเริ่มต้นจัดการน้ำท่วมใน กทม. เชื่อว่าจะเห็นผลมากกว่าการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่และผลาญงบประมาณ
ดังนั้นลอกท่อทั่วเมือง ลอกคลองทั่วกรุง จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนในการจัดการน้ำท่วม…”
ความเก่งกาจหายไปไหนหมด
เอาจริงๆ นโยบายไฟเขียวทุกแยกของ “สมิทธ สมิทธินันท์” ยังรื่นหูกว่า
เพราะกทม.แก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยการลอกท่อมาทุกยุคทุกสมัย และลอกอยู่ตลอดเวลา แต่หน้าฝนทีไรยังท่วมรอระบายทุกที
นี่ไม่ใช่แนวคิดใหม่
คนรุ่นใหม่อย่าง “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ต้องคิดได้มากกว่านี้
น้ำท่วมกรุงมันมีอะไรมากกว่าการลอกท่อ
ก็เห็นเก่งทุกเรื่อง งั้นลองบอกว่า มีวิธีทำให้คนกรุงมีระเบียบวินัยแบบคนญี่ปุ่นอย่างไร เพราะเรื่องขยะ เรื่องการจราจร ล้วนเป็นเรื่องวินัยของพลเมืองทั้งสิ้น
ทุกวันนี้การทิ้งขยะลงคลอง ลงท่อระบายน้ำ ยังคงเป็นเรื่องปกติที่คนกรุงจำนวนไม่น้อยยังทำกัน
ไม่ต้องดูที่ไหนไกล “วิโรจน์” ลองเดินไปริมคลองตลาดคลองเตย แล้วเปิดแถลงข่าวหน่อยว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
เอาที่มันเป็นรูปธรรมจับต้องได้
ไม่ใช่เอาแต่เสี้ยมให้คนแตกแยก
“คนกรุงต้องการผู้ว่าฯ ที่เป็นผู้แทนของคนกรุงเทพ มีเจตจำนงที่จะทำให้คนกรุงเทพเท่าเทียมกันและคืนเมืองที่เป็นธรรม ผู้ว่าฯ ต้องไม่เป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้ง แต่เป็นต้องตัวแทนยืนอยู่ข้างประชาชน”
ที่พูดแบบนี้ไม่ทราบ “วิโรจน์” ต้องการสื่ออะไร
อ้างประชาชน แล้วให้คำตอบได้หรือเปล่าว่าประชาชนฝ่ายไหน ใครถูกผิด ประชาชนเขาจะได้รู้ว่าควรไปลงคะแนนให้หรือเปล่า
ประเทศนี้คงไม่ต้องใครเป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้งกันอีกแล้วครับ
แบ่งข้างกันให้หมด
ชกมวยยังต้องมีกรรมการ
ขนาดตีไก่ก็ยังต้องมีกรรมการคอยแยก คอยห้าม
ถ้าใช้ตรรกะนี้เข้ามาบริหารกรุงเทพมหานคร ก็ฉิบหายกันหมดครับ
ในสำนักงานกทม.เอง ไม่ต้องมีใครเป็นกลาง ผู้ว่ากทม.ต้องยืนอีกข้างเสมอ…มันใช่เรื่องหรือ
ลำพังความขัดแย้งทางการเมืองที่มีอยู่ มันหนักหนาสาหัสพออยู่แล้ว
นี่ยังจะให้แบ่งข้างกระซวกกันอีก
ซาดิสม์ หรือเปล่า?