“ไก่” กับสหาย “น้ำเมา”-เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

พูดถึงเรื่อง “ไก่”
ทำให้ผมระลึกชาติเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว!
อย่าหาว่า “คนเก่า” เอาแต่ “เล่าความหลัง” เลยครับ มันเป็นอดีตที่ยากลืม ระหว่างมิตรสหายทั้ง “ต่างหน้า-ต่างวัย” ครั้งหนึ่งในชีวิตผม
นึกได้ ก็อยากเล่าเฉยๆ ………
ไม่เกี่ยวโยงกับการบ้าน-การเมืองหรือการใดๆ ทั้งสิ้น ให้ถือซะว่า เป็น “นิยายเรื่องหนึ่ง” จาก “ชีวิตจริง” ของผมเท่านั้น

คือซักราวๆ ปี พศ.๒๕๐๙ หรือ ๒๕๑๐ นี่แหละ จะเป็นปีไหนจำไม่ชัดเจน ผมเป็นนักข่าวอยู่หนังสือพิมพ์ “พิมพ์ไทย” ตั้งอยู่สามเหลี่ยมดินแดง ตอนนั้น เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ

ก็มีข่าว “สมเด็จพระนโรดม สีหนุ” กษัตริย์กัมพูชา ระดมยิงปืนกลจากบ้านหาดทรายยาวเข้ามาในเขตแดนไทย แถวๆหมู่บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด

ไม่แค่นั้น ….
ยังระดมยิงปืนใหญ่จากเขาบรรทัดซึ่งเป็นภูเขากั้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาเข้ามาถึงคลองใหญ่
แถมส่งเรือรบเข้ามาจอดคุมเชิงอยู่แถวๆ เกาะยอ ทำเอาชาวบ้านต้องอพยพกันอุตลุต

ฝ่ายไทยก็ตอบโต้ไป แต่ฝ่ายเขมรไม่หยุดแค่นั้น เจ้าสีหนุสั่งทหารขนปืนใหญ่ขึ้นไปบนยอดเขาบรรทัด ระดมยิงเข้าใส่หมู่บ้านหาดเล็กอีก

ฝ่ายเขมรเหิมเกริมถึงขั้นให้ทหารบุกเข้ามาปล้นทรัพย์สิน ฆ่าชาวบ้านไป ๒-๓ คน
เหตุที่เจ้าสีหนุถล่มไทย ก็ไม่มีอะไรมาก คือช่วงนั้น โลกอยู่ในช่วงแบ่งค่าย “ค่ายคอมมิวนิสต์-ค่ายโลกเสรี”

เจ้าสีหนุอยู่กับเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ การที่เจ้าสีหนุถล่มไทย ไม่เป็นเรื่องแปลก และในความเป็นจริง ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก

เจ้าสีหนุกับไทย ไม้เบื่อ-ไม้เมา กันมาตั้งแต่กรณีเขาพระวิหาร สมัยจอมพลสฤษดิ์โน่น
แม้ศาลโลกตัดสินให้เขมรได้เขาพระวิหารไปแล้วก็ตาม แต่เจ้าสีหนุก็ยังแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับไทยตลอดเวลา
เนี่ย…ต้นเหตุมันเป็นอย่างนี้

กรณีเจ้าสีหนุถล่มปืนใหญ่เข้าฝั่งไทย นับเป็นข่าวใหญ่มากตอนนั้น รัฐบาลจมพลถนอมแถลงการเป็นเรื่องเป็นราว บก. “มานะ แพร่พันธุ์” จึงสั่งให้ผมไปทำข่าวเรื่องนี้ ที่หาดเล็ก คลองใหญ่

๕๐ กว่าปีที่แล้ว นั่งรถจากโรงพิมพ์กับช่างภาพและคนขับ รวม ๓ คนไปคลองใหญ่ ถนนหนทางไม่สะดวกสบายเหมือนยุคนี้

ไปถึงตัวเมืองตราด ก็เอารถข้ามแพไปขึ้นอีกฝั่ง ปรากฏว่าถนนที่จะไปคลองใหญ่หลายช่วง เป็นหลุม-เป็นบ่อ เพราะกระสุนปืนใหญ่

ชายหาดริมทาง สมัยนั้น ธรรมชาติ เดิมๆ ดิบๆ สวยเหมือนสาวบริสุทธิ์ที่ไม่เคยแตะต้องมือชาย พูดกันตรงๆ ห่างไกลผู้คน ชนิด อสท.ยุคนั้น ยังไปไม่ถึงด้วยซ้ำ

ไปถึงคลองใหญ่ ก็ใกล้เย็นค่ำ ตามโปรแกรม รุ่งขึ้นเช้า จะมีเรือตรวจการทหารเรือมารับเจ้าหน้าที่จากท่าเรือคลองใหญ่ไปดูสำรวจพื้นที่บ้านหาดเล็ก และพวกนักข่าวก็จะนั่งเรือไปกับคณะด้วย

เอาหละ มื่อเป็นอย่างนี้ ก็เช่าโรงแรมแถวๆ สะพานท่าเรือนั่นแหละนอน ตอน ๖ โมงเช้า เขานัดรวมพลพร้อมกันที่นี่ ก็จะได้ไปกันเลย

ใต้ถุนโรงแรมเป็นสถานที่ขายข้าวปลาอาหารรวมทั้งเป็นสุราสโมสร สมัยนั้น สำหรับผม “เหล้าเป็นหลัก-ข้าวเป็นของสิ้นเปลือง”

เพื่อนสั่งข้าว ผมสั่ง “โขงแบน โซดา ๒” ช่างภาพกับโชเฟอร์กินข้าวเสร็จ ก็แยกขึ้นไปนอน ส่วนผม แค่ ๒-๓ ทุ่ม ยังหัววัน จะนอนให้ดาวบนฟ้านินทาได้ยังไง

ก็เลยนั่งกรึ๊บอยู่คนเดียว ดื่มเหล้าคนเดียวดูเหมือนคนอกหักหรือไม่ก็ชีวิตมีปัญหา เขาว่ากันงั้น

ในความเป็นสุราชนของผม ๕-๖ โมงเย็น เพื่อนกินก็เต็มโต๊ะกลางลานตลาดโต้รุ่งสามเหลี่ยมดินแดงแล้ว

แต่นี่…คลองใหญ่ เพิ่งมาครั้งแรกในชีวิต จะไปหาเพื่อนกินที่ไหนล่ะ

ในร้าน ก็มีสุราชน นั่งดื่ม-นั่งคุยสนุกสนานเฮฮาอยู่หลายโต๊ะ แต่ผมเพื่อนกินซักคนก็ยังหาไม่ได้ รู้สึกชังตัวเองยังไงไม่รู้
นั่งเหงาแบบมึนๆ อยู่ แล้วฝนก็เทซู่ลงมา…

พลันมีผู้ชายคนหนึ่ง อายุน่าจะไม่เกิน ๕๐ ค่อนข้างผอม ผิวสีกล้วยตากร้อยแดด สูงไม่เกิน ๑๖๐ ผมเผ้ากระเซิง สะเงาะ-สะแงะ เหมือนหลบฝนเข้ามาในร้าน

ก็คงได้ที่มาจากที่ไหนซักแห่ง เจอโต๊ะไหน ก็แถเข้าไปเหมือนคุ้นเคย คนในโต๊ะนั้น เหมือนรู้จักว่าเป็นใคร ก็โบกมือไล่ เหมือนกันทุกโต๊ะ

ผมกำลังอยากมีเพื่อนอยู่พอดี เลยกวักมือเรียกให้มานั่งดื่มด้วยกัน เรียกชายผู้นั้นตามวัยก็แล้วกันว่า “ลุง”

พอผมกวักมือเรียก ลุงแกก็ไม่ถือตัว ยิ้มเหงือกแเดงปรี่เข้ามาเป็นสหายร่วมดื่มทันที

เหล้าที่ดี ต้องกลั่นจากแหล่งน้ำที่ดี
มิตรสหายที่ดี ก็ประมาณนั้น ต้องกลั่นน้ำใสใจจริงให้กัน

ลุงบอกชื่อ “เตื้อม” บางเวลาเป็นคนเขมร บางเวลาเป็นคนไทย คือข้ามไป-ข้ามมาตามแนวเขาบรรทัด คนแถวท่าเรือนินทาแกว่า เป็นพวก “ตลกบริโภค” ไม่น่าไว้ใจ

ก็คุยกันถูกคอ จากแบนแรก เป็นแบนที่สอง จนฝนซาเม็ด ซักห้าทุ่ม ไม่มีใครในร้านแล้ว แต่เรา ๒ เกลอ ลุงกับหลาน “ติดลม” ซะแล้ว

ลุงเตื้อมชวนไปกินต่อที่บ้าน ถามว่าบ้านอยู่ไหน แกบอกไม่ไกลหรอก เดินไปเดี๋ยวก็ถึง
งั้นก็ไปซี ว่าแล้ว สั่งแม่โขง ๑ ขวด โซดากี่ขวดจำไม่ได้ ใส่ลัง ลุงเตื้อมแบกไป จากนั้น ผมก็ตามลุงเตื้อมไปตามทางมืดตื๋อ

มานึกตอนหลัง ผมนี่บ้าสิ้นดี แค่กินเหล้ากันชั่วโมง-สองชั่วโมง ไม่รู้แท้ว่าลุงเตื้อมคือใคร เขาชวนก็ตามเขาไป ซึ่งไม่รู้ว่าเขาพาไปไหน ในต่างถิ่น-ต่างแดน

เดี๋ยวของลุงเตื้อม มันไกลเอาการ ออกจากตัวตลาด ลุยป่า-ลุยทุ่งมองไม่เห็นอะไรเลย ลุงแกพาไปไหนก็ไม่รู้ ฝนเพิ่งซา ดินโคลนแฉะติดรองเท้า เมาก็เมา ชักเดินไม่ไหว

“เอ้า…ขี่คอผม” ลุงเตื้อมบอก

ผมก็ขึ้นขี่คอ เห็นผอมอย่างนั้นเถอะ เข็งแกร่งในปฐพีจริงๆ แบกผมแล้ว ยังหนีบลังเหล้ากับโซดาฉลุย

เป็นชั่วโมงเห็นจะได้ ไปถึงกระท่อมหลังหนึ่ง เรียกว่ามีหลังเดียวในพื้นที่เวิ้งว้าง ลุงเตื้อมบอก ถึงแล้ว..ถึงแล้ว เดี๋ยวจะต้มไก่มากินแกล้มเหล้ากัน

จุดตะกุ้ง-ตะเกียงแล้ว ผมสังเกตกระท่อมลุงเตื้อมนี่ประหลาดแฮะ!
บ้านไม่มีรั้ว ปลูกบนพื้นโล่งๆ ใต้ถุนบ้าน มีทั้งหมาและไก่อาศัยอยู่

แต่ทั้งหมาและไก่ ไม่ออกพ้นจากใต้ถุนบ้านเลย ตอนผมกับลุงเตื้อมเขาเขตบ้าน ปกติ…หมานอกจากเห่าแล้ว จะต้องวิ่งออกมาหาเจ้าของ

แต่นี่ วิ่งวนอยู่เฉพาะใต้ถุนเท่านั้น ผมว่า แปลกฮิ หมาของลุงนี่ ลุงเตื้อมบอกลักษณะจริงจังว่า
แกเสกคาถา ขีดวงกำกับไว้ “ห้ามออก” เว้นแต่แกจะเรียกให้ออกจึงจะออกได้

บ้านของแกจึงไม่ต้องมีรั้ว ไม่ต้องกลัวขโมย เพราะเวลาไม่อยู่บ้าน จะเสกคาถากำกับไว้ ใครก็เข้าออกไม่ได้!?

เขาว่า “เขมรขมังเวทย์” จริงอย่างนั้นหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้นะ

รู้แต่ว่า เมื่อล้างโคลนเข้าไปในกระท่อมแล้ว ปาเข้าไป ตี ๒ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลารวมพลไปหาดเล็กตอน ๖ โมงเช้า

แล้วจะนั่งโจ้เหล้ากับลุงเตื้อม ๒ คนต่ออีกไหวหรือ ถึงลุงแกรับปากว่า จะแบกผมไปส่งถึงท่าเรือให้ทันก็ตาม
พูดกันตามตรง ตอนนั้น ผมเมาแล้ว เพราะตอนเย็นก็ไม่ได้กินข้าว กินแต่เหล้า

ลุงเตื้อมบอกรอเดี๋ยว ผมหัวหมุนติ้ว ก็นอนแผ่ ซักพักใหญ่ กลิ่น “ไก่ต้มยำ” โชยปลุกให้ตื่น ก็เห็นลุงตักไก่ต้มยำใส่ชามควันโขมง หอมฉุย

“ซดก่อน..ซดก่อน เดี๋ยวค่อยนอน”

เหล้ามันเริ่มแผลงฤทธิ์ ผะอืด-ผะเอา ลุงแกลูบหลัง-ลูบไหล่ คะยั้นคะยอให้ผมซดต้มยำแก้เมา

ก็ไก่ที่ลุงเลี้ยงไว้ใต้ถุนบ้านนั่นแหละ เพื่อมิตรสหายแปลกหน้าที่ไม่แปลกน้ำใจกัน
ลุงลงทุนเชือดไก่ที่เลี้ยงไว้เพื่อมิตรสหาย มันเป็นอะไรที่ผ่านมากว่า ๕๐ ปี ผมก็ยังจำรสไก่ต้มยำของลุงเตื้อมได้ถึงทุกวันนี้

ผมถอดนาฬิกาข้อมือให้ลุงถือไว้ ชี้ให้ลุงดู ว่าถ้าเข็มยาวถึงเลข ๑๒ เข็มสั้นถึงเลข ๔ ให้ปลุกด้วย จากนั้นผมก็หลับ

มาตื่นตอนลุงแก่จับขาผมเขย่าๆ ว่าถึงเลข ๔ แล้ว แต่ผมหมดสภาพ เมาไม่สร่าง ทั้งเพลีย ทั้งปวดหัว แต่ต้องไป “ลุงเตื้อม” สหายที่ไม่มีใครคบ

แกให้ผมขี่คอ แล้วแบกผมจากบ้านแถวๆ แนวเชิงเขาบรรทัด ลุยขี้โคลนดุ่มๆ มาในความมืด จนตี ๕ กว่า ฟ้าสาง มาถึงท่าเรือในขณะที่คนอื่นๆเขาพร้อมกันหมดแล้ว

แต่ “นักข่าวขี้เมา” ก็ไปถึง “หาดเล็ก” สุดแดนสยาม ชนแดนเขมร ในสภาพที่สิ้นสภาพ ยังนึกทุเรศตัวเองถึงวันนี้
ก็แค่นี้แหละครับ เรื่อง “ไก่” ที่ฝังใจจำของผม!

นึกถึงเรื่องนี้ทีไร เสียวทีนั้น……..

ถ้าลุงเตื้อมเชือดผมแทนไก่ตอนนั้น เชือดได้สบายมาก เพราะคนเขามาบอกตอนหลังว่า ไปกับแกได้ไง เพราะลุงเตื๊อม เป็น “โจร ๒ แผ่นดิน”

มีเรื่องฝั่งเขมร ก็หลบมาไทย มีเรื่องฝั่งไทย แกก็หลบเข้าเขมร

ลุงเตื้อมเป็นอะไรก็ช่าง….
แต่กับผม ………
แกเป็น “สหายร่วมดื่ม” ซื่อสัตย์ที่สุด เท่าที่เคยมีมิตรสหายมา

 


Written By
More from plew
ทักทาย เดี๋ยวจะว่าวันเดียวหายจ้อย
เมื่อวา่นเปิดบ้านใหม่ ขนโต๊ะ ขนเก้าอี้ เกินแรงชราไปหน่อย จวบกับหลังคายังแหว่งๆโหว่ๆ พอฝนเทเลยกลายเป็นนางแมวในขบวนแห่ ตกกลางคืนไข้หัวฝนเล่นซะนอนแผ่ไปเลย วันนี้เลยหมดแรงคุย ต้องขอพึ่งบริการคุณ”ผักกาดหอม”ไปอีกวัน แต่เกรงใจแขกเหรื่อที่หลงเข้ามาเรื่อยๆ จึงขอโผล่หน้าเล็กๆน้อยๆพอเป็นกระสายและบอกว่า ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมฉลองเปิดบ้านใหม่...
Read More
0 replies on ““ไก่” กับสหาย “น้ำเมา”-เปลว สีเงิน”