ผักกาดหอม
สำหรับประชาชนแล้ว….มันเป็นความเจ็บปวดนะ
การเมืองท้องถิ่นหากินกับงบฯ เสาไฟฟ้า
เป็นไปได้ไง…ต้นละแสน
ถือเป็นความล้มเหลวในการปราบคอร์รัปชันแทบจะสิ้นเชิง
ในภาพรวมแล้วน่าจะเป็นเทรนด์การใช้งบประมาณขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นตั้งแต่ อบจ. อบต. ยันเทศบาล
ผลาญไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น และแน่นอนเสาไฟฟ้าแพงขนาดนั้น ต้องล่ำซ่ำกันถ้วนหน้า
เรื่องนี้น่าจะมีมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งโผล่ในช่วงนี้
ท้องถิ่นหลายพื้นที่อ้างต้องการสร้างเอกลักษณ์ให้ท้องที่ตัวเอง คิดอะไรไม่ออก ก็มาโผล่ที่เสาไฟฟ้า ป้ายบอกชื่อซอย ฯลฯ
คิดโครงการง่าย กินกันคล่อง
สมัยก่อนเวลาด่านักการเมืองขี้โกงมักเรียกกันว่าพวกกินอิฐกินปูน มาสมัยนี้พัฒนาไปอีกขั้น กินเหล็ก กินอัลลอยด์
ความสยดสยองในเรื่องนี้คือเป็นความล้มเหลวในการกระจายอำนาจของประเทศไทย
การเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ได้มาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อท้องถิ่น
การเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติเท่าไหร่
เข้าไปโกง
เราจึงมีผู้แทนโกงตั้งแต่ท้องถิ่นยันระดับประเทศ
“การเลือกตั้ง” ในทุกระดับจึงอยู่ในภาวะล้มเหลว
ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง
นักการเมืองมักจะอ้างว่าตัวเองมาจากการเลือกตั้ง ขณะที่มวลชนฝังหัวตำราฝรั่ง อ้างประชาธิปไตยต้องเลือกตั้งเท่านั้น สองกลุ่มนี้คือส่วนเกินที่ต้องเร่งแก้ไข
เลือกตั้งแต่ไม่รับผิดชอบ ก็ไม่ต่างเอาแต่ด่าว่าลากตั้งไร้ประโยชน์เปลืองภาษีประชาชน
ตรรกะเพี้ยนๆ ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง มีเลือกตั้งเท่ากับมีประชาธิปไตย ถูกเสี้ยมสอนกันมาตั้งแต่ยุคระบอบทักษิณครองเมือง
เพี้ยนเรื่อยมาจนถึงวันนี้ เชื่อตามๆ กัน แบบฝังหัวว่า ฝ่ายตัวเองเท่านั้นที่เรียกว่าฝ่ายประชาธิปไตย อีกฝ่ายไม่ใช่
ไม่เว้นเรื่องตลกร้ายเสาไฟฟ้าต้นละแสน
ท่องโซเชียลช่วงนี้ต้องทำใจ
เสาไฟฟ้าทองคำโผล่มาให้เห็นรายวัน
แต่มีเรื่องต้องทำใจหนักกว่านั้น ฝ่ายประชาธิปไตยผูกโยงเป็นเรื่องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เห็นไหมเผด็จการมีแต่โกง
ทั้งที่งบเสาไฟฟ้าขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นหลายแห่งผลาญกันในยุครัฐบาลยิ่งลัษณ์
สรุปคือท้องถิ่นโกงงบฯ แต่ด่ารัฐบาลประยุทธ์
ตรรกะนรกของฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้
หนึ่งในผลงานเด่นของรัฐบาลประยุทธ์คือ ทำคลองใน กทม.ให้ใส
คลองโอ่งอ่าง เป็นหนึ่งในผลงานที่เชิดหน้าชูตารัฐบาลประยุทธ์
แต่ฝ่ายประชาธิปไตยสามนิ้วบอกว่า แค่งานระดับ อบต. รัฐบาลเอามาเป็นผลงานไม่ได้
ตรรกะแบบนี้เอามาใช้กันเยอะ เพื่อไทยก็ไม่เว้น
เห็นจับโป๊ะกันในโซเชียล เรื่องที่ อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์วันที่ ๑๗ มิถุนายน โจมตีเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเปิดประเทศในอีก ๑๒๐ วัน
“เป็นการวางเดิมพันชีวิตประชาชนบนความเสี่ยงท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด ที่รัฐบาลยังไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ติดเชื้อรายวัน ยังอยู่ในหลัก ๒-๓ พันคน
ขณะที่ผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ ๒๐-๓๐ คนต่อวัน คนไทยยังได้รับวัคซีนครบ ๒ เข็มไม่ถึง ๑๐% ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่อาจเชื่อได้ว่า จะสามารถเปิดประเทศหรือจัดหาวัคซีนได้ ๑๐๕.๕ ล้านโดส”
ย้อนไป ๑๗ มีนาคม ปีนี้แหละครับ “อรุณี กาสยานนท์” พูดเรื่องเดียวกันนี้ว่า
“…การตรวจพบการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ที่ตลาดบางแค อาจทำให้ไทยไม่สามารถเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ในช่วงไตรมาส ๔ ปีนี้ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและได้รับวัคซีน จะมีภูมิคุ้มกันหมู่ในช่วงไตรมาสที่สอง หรือตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทยอยมองหาจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว
ในขณะที่ไทยยังไม่มีความพร้อมในการเตรียมตัวเป็นประเทศที่ปลอดภัยแต่อย่างใด นอกจากนี้รัฐบาลต้องเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่และการเตรียมความพร้อมในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านงบประมาณที่ใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจาก พ.ร.ก.กู้เงิน ๑ ล้านล้านบาท และงบกลาง ซึ่งยังเหลือวงเงินสูงถึง ๓.๙ แสนล้านบาท
เม็ดเงินจำนวนนี้สามารถสร้างการลงทุนภายในประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับภาคแรงงานและส่งผลต่อเนื่องมาถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้
“การทยอยฉีดวัคซีนควรดำเนินการคู่ขนานไปกับการเตรียมพร้อมเปิดประเทศ สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ถ้าทำได้เร็วเศรษฐกิจก็ฟื้นตัวเร็ว อย่าทอดทิ้งแรงงานไทย ตอนนี้พวกเขากลัวอดตายมากกว่ากลัวติดโควิดแล้ว”….”
นี่คือคำพูดของคนคนเดียวกันในเรื่องเดียวกัน ห่างกันแค่ ๓ เดือน
รัฐบาลบอกพร้อมเปิดประเทศแล้วนะ เพราะมีงบประมาณอัดฉีดเพียงพอ มีวัคซีนให้ประชาชนได้ฉีด ๕๐ ล้านคน
แต่ “อรุณี” ก็แย้งว่าทำไม่ได้หรอก ยังมีคนตายคนป่วยเยอะเยอะ
๓๒ เดือนก่อน ตอนเจอคลัสเตอร์บางแค “อรุณี” เอาแต่ด่ารัฐบาล ให้เร่งเปิดประเทศ อ้างว่าประชาชนกลัวตายมากกว่ากลัวโควิด
นี่คือศักยภาพของฝ่ายแค้นยุค ๔.๐
ครับ…พลังประชารัฐเปลี่ยนเลขาธิการพรรคไปเรียบร้อย
และตามคาดเป็นของ “ธรรมนัส พรหมเผ่า”
นักการเมืองที่มีข้อกังขาเรื่องจริยธรรม คุมชะตากรรมพรรคพลังประชารัฐเป็นที่เรียบร้อย
ใครๆ ก็บอกว่านี่คือแผนของ “๓ ป.” ต้องการอยู่ในอำนาจต่ออีก ๔ ปี
ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น!
เพราะการมาของ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” คือการเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหม่
การแก้รัฐธรรมนูญใช้ระบบเลือกตั้งใหม่ ย้อนกลับไปใช้ของรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ บัตรเลือกตั้ง ๒ ใบ ใบหนึ่งเลือก ส.ส.เขต อีกใบเลือก ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ คือการปูทางสู่การเลือกตั้ง
ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณยุบสภาฯ
มีแต่เสียงไล่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก
ใครที่คิดว่า “๓ ป.” เป็นแค่ทหารแก่ อดีตข้าราชการโง่ๆ บริหารประเทศไม่เป็น
ระวังจะตามคนโง่ไม่ทัน
พลังประชารัฐนำพรรคอื่นไปหนึ่งก้าวแล้ว
ถ้าเลือกตั้งปลายปีนี้ต้นปีหน้า เราอาจได้รัฐบาลพรรคเดียวแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศยุค คสช.
แต่ก็ไม่แน่……
อาจเกิดเผด็จการรัฐสภาหน้าใหม่
เหมือนที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ สร้างทักษิณขึ้นมา