คำต่อคำ แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี 17 มิ.ย.63

17 มิ.ย.63

วิกฤตโควิดครั้งนี้ ทำให้ผมตระหนักชัดถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทยที่เป็นสุดยอด ผมได้เห็นความพร้อมใจที่จะร่วมมือกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวของคนไทย และผมได้เห็นว่าประเทศของเรามีคนเก่งที่มีความสามารถอยู่เยอะมากที่พร้อมจะช่วยประเทศชาติ ทำให้ผมถามตัวเองว่า แล้วทำไมเราถึงไม่จับมือร่วมแรงร่วมใจกันทั้งประเทศแบบนี้ไปตลอด ขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน ให้เหมือนกับตอนที่เราจับมือกันฟันฝ่าวิกฤต ซึ่งรวมถึงการทำงานของรัฐบาลด้วย ที่นับจากนี้ไป จะต้องเป็น New Normal ปรับเปลี่ยนเป็นวิธีการทำงานแบบใหม่ด้วย เพื่อเดินหน้าประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยทุกคน

นี่คือคำแถลงการณ์ของผมในวันนี้ครับ เกี่ยวกับการทำงานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี

สวัสดีครับพี่น้องประชาชนทุกท่าน

วันนี้ เป็นครั้งแรกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ที่ผมรู้สึกเบาใจในระดับหนึ่ง และคิดว่าสามารถพูดกับพี่น้องประชาชนได้ว่า ตอนนี้เราเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้วนะครับ หลังจากที่วิกฤตโควิดได้สร้างความเสียหายมากมายมหาศาลไปทั่วโลก พร้อมกับสร้างความเดือดร้อน แสนสาหัสกับชีวิตความเป็นอยู่ และการทำมาหากินของพี่น้องหลายสิบล้านคนในประเทศไทย

ตอนนี้ แม้จะยังประกาศชัยชนะที่เรามีต่อโควิดได้ไม่เต็มที่นัก แต่อย่างน้อยเรารู้ว่า การระบาดของโควิด ลดลงไปอยู่ในระดับที่เราสามารถควบคุมได้ และได้รับการยอมรับว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่รับมือกับโควิดได้ดีที่สุดในโลก อะไรที่ผ่อนปรนได้ ก็ได้ดำเนินการผ่อนปรนให้ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาแบบนี้ พวกเราทุกคนยังต้อง “การ์ดไม่ตก” เรายังต้องระมัดระวังให้มาก ต้องใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ และยังคงต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ตลอดจนหลีกเลี่ยงกิจกรรมการรวมตัวกันในที่คนเยอะ เพราะเราได้เห็นตัวอย่าง ที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ แล้วว่า โควิดสามารถกลับมาระบาดรอบ 2 ได้ตลอดเวลา หากเราประมาท

วันนี้ เรายังต้องเตรียมรับมือกับอีกหนึ่งความท้าทายที่หนักหนาสาหัสกว่า ที่รอเราอยู่ข้างหน้าด้วย นั่นคือ การทำให้คนไทยสามารถกลับมาทำมาหากินกันได้ดังเดิมอีกครั้ง หลังจากที่วิกฤต โควิดได้ทำลายความสามารถในการหาเลี้ยงปากท้องของคนนับล้านๆ ทำลายธุรกิจทุกขนาด และบังคับให้หลายล้านครัวเรือนต้องนำเงินออมที่เคยเก็บไว้ ออกมาใช้จนหมด ที่แย่ไปกว่านั้น คือทั่วโลกยังคงวิตกกังวล และไม่มีใครรู้ว่า เราจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตกันเหมือนเดิมได้อีกเมื่อใด

สิ่งที่ผมต้องการคือ ทำให้ประเทศไทยของเรา กลายเป็นตัวอย่างการบริหารที่ดีในเรื่องการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เหมือนกับที่เราเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทั่วโลกยอมรับ ในเรื่องการจัดการด้านสาธารณสุขได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นวันนี้ ผมอยากจะพูดถึงสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาให้ได้โดยเร็ว

ผมขอพูดอีกครั้งว่า วิกฤตโควิดครั้งนี้ ทำให้ผมได้ตระหนักชัดว่า ประเทศไทยของเรามีความแข็งแกร่งที่เป็นสุดยอดไม่แพ้ประเทศใดในโลก อยู่ 2 เรื่อง ซึ่งมันเกี่ยวกับ “ความเป็นไทย” ของพวกเราทุกคน

ความพิเศษของความเป็นไทย 2 เรื่อง ที่ทำให้ผมทึ่ง และรู้สึกมีความหวัง ว่าเราจะสามารถขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว และน่าภาคภูมิใจ คือ

หนึ่ง ผมได้เห็นความพร้อมใจกันของคนไทย ที่จะร่วมมือกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว ทำงานด้วยกัน และช่วยเหลือกันในยามวิกฤต อย่างที่เราได้เห็นในข่าวต่างๆ แม้กระทั่งคนที่มีกำลังน้อยหรือแทบจะไม่มี ก็ยังเอาส่วนของตัวเองมาแบ่งปันให้คนอื่นได้มีกินด้วย หรือคนที่พร้อมยอมเอาสุขภาพของตัวเองไปเสี่ยง เพื่อช่วยเหลือดูแลรักษาสุขภาพของคนอื่น นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกพื้นที่ ทั่วประเทศไทยของเรา และเป็นสิ่งที่ผมประทับใจอย่างที่สุด

ความพิเศษของความเป็นไทยเรื่องที่ 2 คือ ประเทศของเรามีคนเก่งที่มีความสามารถอยู่เยอะมาก และอยู่ในทุกระดับของสังคม เป็นคนที่มีความคิดดีๆ มีพละกำลัง และมีความพร้อมใจ ต้องการที่จะช่วยประเทศชาติ โดยไม่มีข้อแม้

นั่นทำให้ผมกลับมาถามตัวเองว่า ในเมื่อประเทศเรามีคนเก่งเยอะขนาดนี้ เรามีคนที่พร้อมใจที่จะจับมือกันช่วยเหลือประเทศชาติเยอะมาก แล้วทำไมเราถึงไม่จับมือร่วมแรงร่วมใจกันทั้งประเทศแบบนี้ไปตลอด ทำงานขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน ให้เหมือนกับตอนที่เราจับมือกันฟันฝ่าวิกฤต

ดังนั้น เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เร็วขึ้น และก้าวไปข้างหน้าได้ไกลมากขึ้น ผมคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาลและทั้งประเทศควรจะทำงานในทุกวัน ให้เหมือนกับว่าเราอยู่ในวิกฤต เราต้องก้าวข้ามเกมการเมือง และลงมือทำงานกันอย่างจริงจัง ให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ในฐานะที่พวกเราคือคนที่ประชาชนเลือกให้มาเป็นตัวแทนทำงานบริหารประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ทุกคนพูดกันว่า หลังวิกฤตโควิดครั้งนี้ โลกของเราจะเปลี่ยนไป เป็นเหมือนโลกใบใหม่ ที่ไม่เหมือนเดิม และเราจะต้องใช้ชีวิตกันในรูปแบบใหม่ แบบที่เรียกว่า New Normal เพื่อที่จะอยู่รอดและก้าวต่อไปข้างหน้าได้

ซึ่งหมายความรวมถึงการทำงานของรัฐบาลด้วย

วันนี้ ผมจึงขอประกาศให้ทุกท่านทราบว่า เมื่อเราเข้าสู่โลกใหม่ จากนี้เป็นต้นไป การทำงานของรัฐบาล จะต้องเป็น New Normal ปรับเปลี่ยนเป็นวิธีการทำงานแบบใหม่ด้วย

หนึ่ง “ผนึกทุกภาคส่วนร่วมวางอนาคตประเทศไทย”

ต่อไปนี้รัฐบาลจะต้องทำงาน โดยดึงทุกภาคส่วน และทุกระดับในสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และมีบทบาทมากขึ้น ในการช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศ

หลังโควิด ผมจะปรับวิธีการวางแผน และกำหนดนโยบายหรือมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่จะได้รับผลจากนโยบายต่างๆ เหล่านั้น ได้มีส่วนร่วมมากขึ้น ไม่ใช่แค่รับรู้นโยบายต่างๆ จากการอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์หรือสื่อออนไลน์เหมือนที่ผ่านๆ มา ต่อไปนี้ประชาชนต้องมีโอกาสมีส่วนร่วม รัฐบาลต้องได้ยินเสียงของประชาชน และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ให้มากขึ้น

แนวความคิดนี้เกิดจาก ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของวิกฤตโควิด ผมได้เดินทางไปพบปะกับสมาคมภาคธุรกิจต่างๆ ด้วยตัวของผมเอง ได้รับฟังและหารือกับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ความเดือดร้อนโดยตรง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก ผมจึงอยากจะต่อยอดวิธีการทำงานแบบนี้

สิ่งที่ผมต้องทำ ในฐานะผู้นำประเทศ คือ เปิดโอกาสให้คนมากมายที่มีความปรารถนาดี และอยากจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ แต่ไม่เคยมีโอกาสมาก่อน ได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมมากขึ้น ผมต้องทำให้ฟันเฟืองที่สำคัญตัวนี้ นั่นคือความสามารถของคนในประเทศ ได้ถูกนำมาใช้ ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยของเราให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ผมจะขอให้แต่ละภาคส่วนเตรียมการเข้ามานำเสนอวิสัยทัศน์ และความคิด ในการเปลี่ยนโฉมและขับเคลื่อนภาคส่วนของท่าน ไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยนำพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าให้ได้ไกลขึ้น และรวดเร็วขึ้นด้วย

โดยหลังจากได้รับความคิดเห็นต่างๆ มาแล้ว รัฐบาลจะพิจารณาความเป็นไปได้ ศึกษาข้อดี ข้อเสีย ของข้อเสนอแนะต่างๆ ในวิธีการที่โปร่งใส และเปิดกว้าง ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อหาหนทางที่ดีที่สุด ที่จะดำเนินการโครงการนั้นๆ ให้เกิดขึ้นจริง อย่างมีประสิทธิภาพ และบูรณาการกับภาคส่วนอื่นๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง

ผมเชื่อว่า คนไทยทุกคนมีความสามารถและมีบทบาทที่จะช่วยกันนำพาประเทศไทยก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นรัฐมนตรี ข้าราชการ เจ้าของธุรกิจ พนักงานบริษัท คนประกอบอาชีพต่างๆ เกษตรกร ครู หรือตัวแทนจากภาคประชาสังคม ทุกคนมีบทบาทที่จะช่วยประเทศได้ เพราะเมื่อทุกคนสามารถยกระดับชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น สังคมโดยรวมก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ในเมื่อประเทศไทยเป็นของเราทุกคน ถ้าเราจับมือกันให้แน่น เราจะเจอวิธีแก้ไขปัญหาบางอย่าง ที่เราเคยคิดว่าเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก

อย่างที่สอง ที่ต้องเปลี่ยน คือ “การประเมินผลงานภาครัฐ โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง”

ผมได้ตัดสินใจแล้วว่า เมื่อเราเลือกที่จะปรับวิธีการทำงานของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากขึ้น เราก็ควรต้องเปลี่ยนระบบประเมินผลการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของรัฐ ว่ามันได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่เราคาดหวังไว้หรือไม่

เราต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเราต้องกำจัดสิ่งที่ทำแล้วเสียเปล่า ไม่มีประโยชน์ ต่อประชาชน ออกไปให้ได้มากที่สุด ดังนั้น สิ่งที่ผมจะทำให้เกิดขึ้นเป็นอันดับต่อไปก็คือ ผมจะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีบทบาทในการประเมินผล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ให้ผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลได้รับทราบโดยตรงได้ด้วย

อย่างที่สาม ที่ต้องทำ คือ “การทำงานเชิงรุก”

ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เราต้องทำงานให้บูรณาการมากขึ้น และผมจะทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยจะกำหนดนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ให้กับกระทรวงต่างๆ ทำขึ้นมาขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยผมจะติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นจริง อย่างมีประสิทธิภาพ

ผมรู้ว่า เมื่อเราเริ่มทำงานในวิธีการแบบใหม่ อาจจะมีเสียงคัดค้าน ไม่เห็นด้วย หรือมีการวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น ซึ่งผมพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ และหากเป็นข้อเสนอแนะที่ดี ผมก็พร้อมที่จะทำตามข้อเสนอแนะนั้นด้วย

เพราะประชาชนคนไทยรอไม่ได้อีกต่อไปแล้วครับ คนไทยควรจะได้ก้าวไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ดังนั้น เราต้องไม่เสียเวลาไปกับการถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้วปล่อยให้คนไทย ต้องอดทนรอต่อไปอีกเป็นเดือนๆ ปีๆ หยุดอยู่กับที่ แทนที่จะได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

เราต้องหยุดเสียเวลาไปกับการคุยเรื่องไม่สร้างสรรค์ เราต้องหยุด ไม่ปล่อยให้เกมการเมือง ที่ไม่สุจริต บิดเบือนข้อเท็จจริง มาดึงรั้งการก้าวเดินไปข้างหน้าของประเทศโดยไม่จำเป็น เป้าหมายข้างหน้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองของประเทศรอเราอยู่ เส้นทางนี้ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป ถ้าเราทุกคนร่วมมือกัน

เพราะฉะนั้น ผมจึงอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ได้ตัดสินใจร่วมกันวันนี้ ว่าเราจะเดินหน้าภารกิจที่สำคัญนี้ไปด้วยกัน นั่นคือภารกิจ “รวมไทยสร้างชาติ” โดยคนไทยทุกคน

ผมได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ตามที่กล่าวมาข้างต้น และผมหวังว่าวิกฤตครั้งนี้จะช่วยให้เราเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศ ให้ประเทศไทยก้าวเดินออกจากหายนะโควิด ไปเป็นประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากขึ้น และมีความแน่นแฟ้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยรากเหง้าของความเป็นไทย ด้วยความเสียสละร่วมกันของพวกเราคนไทยทุกคน และด้วยความรักที่เราพี่น้องคนไทยมีให้แก่กัน วันนี้ เราต้องเริ่มวางรากฐานสำหรับความรุ่งเรืองงอกงามที่ยั่งยืนของประเทศ และเปิดทางให้คนไทยได้มีโอกาสค้นพบตัวตนที่ดี และมีความแข็งแกร่งของตัวเองอีกครั้ง

นี่คือเวลาที่โลกเปลี่ยน และเราจะต้องเปลี่ยนด้วย

ที่สำคัญ นี่คือเวลาแห่งโอกาส ที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

ขอบคุณมากครับ
#รวมไทยสร้างชาติ


Written By
More from pp
“เบทาโกร” เคลียร์ชัด! ปันผลก่อน IPO มาจากกำไรสะสมในอดีต ยืนยันผู้ถือหุ้นเดิมทำสัญญาห้ามขายหุ้นเดิมทั้งหมดก่อน IPO เป็นเวลา 6 เดือน
ประกาศความชัดเจนกลบกระแสข่าวลือ สำหรับ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เกี่ยวกับประเด็นการจ่ายปันผล 10,500 ล้านบาท
Read More
0 replies on “คำต่อคำ แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี 17 มิ.ย.63”