ผักกาดหอม
อะไรคือเหตุให้การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาปะทุขึ้นมาอีกรอบ
เราฟังการวิเคราะห์ฝั่งไทยมาเยอะแล้ว ลองไปดูทางกัมพูชาบ้าง เขาคิดอย่างไร
บทวิเคราะห์ชื่อว่า “แรงจูงใจเบื้องหลังการรุกรานกัมพูชาของไทย” เขียนโดย นักวิจัยประจำศูนย์ศึกษาจีน-อาเซียน มหาวิทยาลัยแคมเทค เผยแพร่ผ่านสำนักข่าวขแมร์ไทมส์
น่าจะถูกอกถูกใจพรรคการเมืองคู่แข่งพรรคภูมิใจไทยครับ
“…การรุกรานกัมพูชาครั้งใหม่ของไทยนับตั้งแต่วันที่ ๗ ธันวาคม เกิดขึ้นภายใต้ปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของการยกระดับทางทหาร แรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศ และความอ่อนไหวทางดินแดนที่มีมายาวนาน สิ่งที่เริ่มต้นจากการปะทะกันอย่างรวดเร็วแต่รุนแรงตามแนวเขตที่มีข้อพิพาทกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปราสาทพระวิหาร ได้บานปลายอย่างรวดเร็ว เป็นการปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ที่ยืดเยื้อ ขนาดและความเร็วของการยกระดับครั้งนี้บ่งชี้ถึงแรงจูงใจที่นอกเหนือไปจากการอ้างการป้องกันตนเอง
สิ่งที่ทำให้วิกฤตการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากวิกฤตการณ์อื่นๆ คือบริบทภายในประเทศที่ประเทศไทยเริ่มปฏิบัติการทางทหาร ประเทศกำลังเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่เปราะบาง ซึ่งเต็มไปด้วยความล้มเหลวในการบริหารจัดการ สแกนดัลที่กลับมาปรากฏอีกครั้ง และผู้นำพลเรือนที่กำลังดิ้นรนเพื่อรักษาอำนาจ ควบคู่ไปกับกองทัพที่กระตือรือร้นที่จะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง ในบริบทเช่นนี้ พรมแดนของกัมพูชาจึงไม่ได้เป็นเพียงพรมแดนด้านความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดปะทะทางการเมืองที่เหมาะสมอีกด้วย
ในแง่ผิวเผิน ประเทศไทยได้อธิบายการกระทำของตนว่าเป็นการป้องกันตนเองเชิงปฏิบัติการเพื่อตอบโต้การปะทะกันบริเวณชายแดนในทันที แถลงการณ์อย่างเป็นทางการระบุว่า การใช้อาวุธหนักและการโจมตีทางอากาศเป็นการตอบโต้ที่จำเป็นเพื่อปกป้องทหารและพลเรือนไทย อย่างไรก็ตาม คำอธิบายนี้ล้มเหลวที่จะอธิบายถึงลักษณะที่ไม่สมดุลของการตอบโต้และช่วงเวลาของการยกระดับความขัดแย้ง
การเมืองภายในประเทศเป็นคำอธิบายที่น่าเชื่อถือกว่า รัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เพิ่งเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาชนเกี่ยวกับการบริหารประเทศที่ล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการอุทกภัยที่ไม่ดี การปล่อยน้ำจากเขื่อนที่ไม่ประสานงานกันทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในจังหวัดต่างๆ เช่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ และชัยภูมิ ทำลายพืชผล บ้านเรือนเสียหาย และระบบคมนาคมหยุดชะงัก ความไม่พอใจของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นจุดอ่อนในศักยภาพและภาวะผู้นำของรัฐ
แรงกดดันทางเศรษฐกิจได้ทำให้ความเปราะบางทางการเมืองนี้ทวีความรุนแรงขึ้น อัตราการเติบโตของ GDP ของไทยชะลอตัวลงอย่างมากเหลือเพียง ๑.๒% ในไตรมาสที่สาม โดยมีสาเหตุมาจากผลผลิตภาคการผลิตที่อ่อนแอและการส่งออกที่ลดลง ความซบเซาเชิงโครงสร้างเริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้น โดยภาคส่วนสำคัญๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และปิโตรเคมี กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
ความขัดแย้งทางการเมืองทวีความรุนแรงขึ้นอีกเมื่อภาพถ่ายที่เชื่อมโยงอนุทินกับเบน สมิธ บุคคลในวงการอาชญากรรมข้ามชาติ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าอนุทินจะปฏิเสธความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือความเกี่ยวข้องทางธุรกิจใดๆ แต่คำอธิบายดังกล่าวก็ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากสาธารณชนกลับคืนมาได้ ตรงกันข้าม เหตุการณ์นี้กลับยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของการไม่ต้องรับผิดของชนชั้นสูงและเครือข่ายทางการเมืองที่ไม่โปร่งใส ซึ่งยิ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นก่อนการเลือกตั้งที่จะมาถึง
ในบริบทนี้ การเผชิญหน้ากับกัมพูชาอีกครั้งดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ทางการเมือง โดยการยกระดับวิกฤตชายแดน รัฐบาลสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนไปสู่ภายนอก ปลุกระดมความรู้สึกชาตินิยม และแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง การศึกษาทางประวัติศาสตร์และการเปรียบเทียบเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศที่เบี่ยงเบนความสนใจแสดงให้เห็นว่า ผู้นำที่เผชิญกับแรงกดดันภายในประเทศมักจะยกระดับความขัดแย้งภายนอก-ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม-เพื่อสร้างผลกระทบแบบ “รวมพลังกัน” กัมพูชาในฐานะประเทศเพื่อนบ้านขนาดเล็ก จึงกลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับการสร้างภัยคุกคาม
ระบบการเมืองของไทยยิ่งทำให้พลวัตนี้ทวีความรุนแรงขึ้น กองทัพและชนชั้นนำที่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงมีอำนาจเชิงสถาบันอย่างมาก และใช้ประโยชน์จากวิกฤตการณ์ภายนอกมาอย่างยาวนานเพื่อเสริมสร้างความสำคัญของตน
ความขัดแย้งตามแนวชายแดนเปิดโอกาสให้กองทัพแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการปฏิบัติการ ในขณะเดียวกันก็ปลุกระดมกระแสชาตินิยมที่เชื่อมโยงกับอธิปไตยและบูรณภาพดินแดน ชายแดนพระวิหาร ซึ่งมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์และเป็นพื้นที่พิพาททางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง จึงเป็นเวทีที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลุกระดมดังกล่าว
ในขณะเดียวกัน ไทยกลับแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงต่อข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์น้อยมาก เห็นได้ชัดจากการที่ยังคงยืนกรานในเงื่อนไขของกัมพูชา การปฏิเสธที่จะปล่อยตัวทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ และการกล่าวหาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการวางทุ่นระเบิดในพื้นที่พิพาท การดำเนินการแบบเลือกปฏิบัติเช่นนี้บั่นทอนความไว้วางใจ และบ่งชี้ว่าข้อตกลงนี้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือมากกว่าเป็นกรอบสำหรับการลดความตึงเครียด
นอกเหนือจากการเบี่ยงเบนความสนใจภายในประเทศแล้ว กลยุทธ์ของไทยดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการคำนวณความเสี่ยงระดับภูมิภาคที่สูงกว่า เป้าหมายหนึ่งอาจเป็นการยั่วยุให้กัมพูชาใช้ระบบขีปนาวุธที่จีนจัดหาให้โจมตีเครื่องบินที่ผลิตโดยสหรัฐ โดยเฉพาะเครื่องบินขับไล่ F-16 เหตุการณ์เช่นนั้นจะสร้างเรื่องราวที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางทหารของจีน ทำให้ไทยสามารถปรับเปลี่ยนการกระทำของตนเป็นการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองจากการรุกรานที่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก แทนที่จะเป็นการยกระดับความขัดแย้งฝ่ายเดียว
หากกัมพูชาถูกมองว่าได้รับการสนับสนุนจากจีน ไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม ไทยอาจวางตัวเป็นรัฐแนวหน้าต่อต้านการแทรกแซงจากมหาอำนาจ การวางกรอบเช่นนี้อาจช่วยลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติ โดยเฉพาะจากประเทศพันธมิตรที่กังวลเกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ในระดับประเทศ การวางกรอบเช่นนี้จะเสริมสร้างภาพลักษณ์ของกองทัพและรัฐบาลในฐานะผู้พิทักษ์อธิปไตยของชาติ และรวมอำนาจทางการเมืองท่ามกลางความล้มเหลวในการบริหารประเทศ
ตรรกะนี้ยังเอื้อประโยชน์ต่อสถาบันต่างๆ ด้วย การดำเนินปฏิบัติการสำคัญๆ ที่ถูกนำเสนอในลักษณะของการตอบโต้การยั่วยุจากภายนอก ทำให้กองทัพไทยเสริมสร้างอิทธิพลทางการเมือง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการปฏิบัติการ และเสริมสร้างความสอดคล้องกับชนชั้นนำที่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ ลัทธิชาตินิยมที่เพิ่มสูงขึ้นยังช่วยยกระดับสถานะของกองทัพเมื่อเทียบกับหน่วยงานพลเรือนโดยไม่ท้าทายลำดับชั้นทางการเมืองอย่างเป็นทางการอย่างโจ่งแจ้ง
อย่างไรก็ตาม จากมุมมองทางทหาร กลยุทธ์ของไทยได้ผลลัพธ์ที่จำกัด กัมพูชาได้ใช้กลยุทธ์ป้องกันแบบเน้นการป้องปราม โดยให้ความสำคัญกับตำแหน่งที่มั่นคง การวางกำลังทหารอย่างมีระเบียบวินัย และการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความพร้อมที่จะตอบโต้ การพึ่งพาอำนาจทางอากาศและอาวุธหนักของไทยไม่ได้ก่อให้เกิดการได้ดินแดนเพิ่มขึ้น หรือการบีบบังคับอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่สมดุลนี้ยิ่งเสริมความมั่นใจของกัมพูชาและจำกัดประสิทธิภาพของวิธีการบีบบังคับของไทย
ด้วยเหตุนี้ การกลับไปสู่การเจรจาจึงดูไม่น่าเป็นไปได้ เว้นแต่จะเกิดภาวะชะงักงันทางทหารอย่างชัดเจน หรือมีการไกล่เกลี่ยจากบุคคลที่สามที่น่าเชื่อถือ หากปราศจากแรงกดดันจากภายนอก การยกระดับความขัดแย้งที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองของไทยอาจทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อ สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ประชาชน และบ่อนทำลายบรรทัดฐานของภูมิภาค
ท้ายที่สุดแล้ว วิกฤตการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงไม่เพียงแต่ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนเท่านั้น แต่ยังเป็นการบรรจบกันที่น่าเป็นห่วงของความไม่มั่นคงภายในประเทศ แรงจูงใจเชิงสถาบัน และการคำนวณทางภูมิรัฐศาสตร์ หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไข มันจะคุกคามไม่เพียงแต่ชีวิตและอธิปไตยของกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสมบูรณ์ของกฎหมายระหว่างประเทศและพันธสัญญาอันยาวนานของอาเซียนในการระงับข้อพิพาทอย่างสันติด้วย…”
โยนขี้มาเต็มๆ เลยครับ!
วานซืน (๑๗ ธันวาคม) “หลิว จงอี้” ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน กองบัญชาการกองทัพบก พบปะ พลเอกดิเรก บงการ หัวหน้าศูนย์ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก
“หลิว จงอี้” บอกว่า…
“…ทางจีนได้แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลกัมพูชามีความเชื่อมโยงและมีผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการสแกมเมอร์ในหลายมิติ ดังนั้นจึงขอให้ทั้งสองประเทศได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกัน…”
จบข่าวครับ.

