สันต์ สะตอแมน
โครงการพุทธนวัตกรรม ธรรมนาวา “วัง”
เป็นโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มีวัตถุประสงค์ในการจัดอบรมขยายผลการปฏิบัติตามหลักธรรมะพระราชทาน ธรรมนาวา “วัง” ไปสู่หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไป
และเพื่อให้ผู้ต้องขังได้ศึกษาถึงสาระแก่นแท้ของศาสนา ขัดเกลาจิตใจ และน้อมนำพระธรรมคำสอนสู่การลงมือทำ อันจะนำไปสู่ความสิ้นทุกข์อย่างแท้จริง
นี่..หากเป็นไปตามที่คุณอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร บอกกับนักข่าวหลังเข้าเยี่ยมนายทักษิณในเรือนจำจริง ว่า..
“ได้ทราบว่าทาง ผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม ได้ชวนคุณพ่อเข้าร่วมโครงการธรรมะนัมวัง ก็เห็นว่าจะแบบนั้น
ซึ่งช่วงนี้คุณพ่อก็โอเค ส่วนสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงนั้น คุณพ่อก็สุขภาพร่างกายโอเค แต่สุขภาพใจก็อาจมีความเครียดเยอะหน่อย”
ก็..ถือเป็นเรื่องที่ควรจะได้ร่วมอนุโมทนา เผื่ออย่างน้อยจะช่วยขัดเกลาจิตใจนายทักษิณได้บ้าง เพื่อจะได้ลด-เบาความทุกข์-เครียดลง เพราะคงอีกหลายเพลาที่ต้องอยู่ในนั้น!
แม้คุณแพทองธารจะบอก.. “คุณพ่ออายุเยอะแล้ว ถ้าได้สิทธิ์ออกมาพักก็คงจะดี เพราะว่าจริงๆ อยู่ข้างในก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว”
แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิด-ความรู้สึกของคนเป็นลูก..ซึ่งการ “อยู่ข้างใน” มันไม่เกี่ยวว่าจะได้หรือไม่ได้อะไร แต่เมื่อยังไม่มีปัจจัย-ช่องทางเอื้อให้มีโอกาสได้รับอิสรภาพได้..
จะได้-ไม่ได้อะไรก็ตาม นายทักษิณก็ยังต้องชดใช้กรรมอยู่ ณ แดนกักขังต่อไป!
พูดถึงนายทักษิณ เมื่อวานบังเอิญได้เห็นข้อความที่คุณอรรถชัย อนันตเมฆ อดีตพระเอก-ดาวร้าย ปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โพสต์..
“เรื่องที่ไม่พูดกันคือทักษิณโอนหุ้นแอมเพิลลิสต์ให้โอ๊คเอมปี 43 แล้วนำมาขายให้เทมาเซคปี 49 หลังมีม็อบออกมาประท้วงปี 48
นี่คือ “เจตนา” โอนหุ้นให้ลูกเพื่อหนีภาษี..งั้นหรือ.???
คือทักษิณ “รู้ล่วงหน้า” ว่าจะมีม็อบประท้วงถึง 5 ปี เลยโอนหุ้นให้ลูกก่อนล่วงหน้า เพื่อจะได้ขายใน ไทย จะได้ไม่ต้องเสียภาษี…???
นิมันบ้าบอ…ตรงข้าม นี่คือการพิสูจน์เจตนาของทักษิณว่าไม่มีเจตนาในการขายหุ้นเพื่อหนีภาษี…แต่แค่ ตั้งใจมอบหุ้นให้ลูกเป็นสมบัติ …จึงได้ขายแค่ 1 บาท..
ต่อมา อีก 6 ปี..เมื่อมีคนมาประท้วง เปรมบอกให้ขาย..จึงได้ขายทั้งหมด..เมื่อขายในตลาดหุ้นไทย ปี 49 ก็ไม่ต้องจ่ายภาษี…!!
ดังนั้นคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง ว่า 4.8 หมื่นล้าน เป็นของทักษิณ แต่ เจตนาหนีภาษี นั้นไม่ถูกต้อง..!!
เมื่อคำพิพากษาของศาลอาญาแผนกคดีอาญานักการเมืองไม่ถูกต้อง คำพิพากษาของศาลภาษีเมื่อวันก่อนก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน
เพราะการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยบุคคลธรรมดานั้นไม่ต้องจ่ายภาษีแต่อย่างใด
แต่เค้าอยากยึดทรัพย์ทักษิณจึงต้องบิดเบือน เรื่องราว ว่าคือ ทรัพย์ของทักษิณ จะได้…ยึดได้…เป็นที่มาของ การเก็บภาษี..ที่ไม่ถูกต้องต่อมา…มันแค่นี้เอง ประเทศทุย…”
ครับ..อ่านแล้ว นอกจากให้หวาดเสียวใจแทน ยังให้รู้สึกวังเววิเวกโหวงเหวงในหัว ไม่รู้ว่าคุณอรรถชัยมีหลักฐานอะไรยืนยัน..
ว่า.. “เค้าอยากยึดทรัพย์ทักษิณจึงต้องบิดเบือน”?
คุณอรรถชัยอาจจมองประเด็นนี้ผ่านแว่นการเมืองมากกว่า “แว่นกฎหมาย” จึงเกิดความเชื่อว่า.. “ต้องการยึดทรัพย์ จึงตีความว่าทรัพย์นั้นเป็นของนายทักษิณ”!
ทั้งๆ ที่คำพิพากษาของศาลตั้งอยู่บนกรอบของกฎหมาย ที่กูรู-นักกฎหมายต่างก็เห็นพ้องว่าถูกต้องดีแล้ว ขนาดกูรูใหญ่ยังเลี่ยงที่จะหยิบมาวิพากษ์วิจารณ์
หากแต่ไปหยิบเอาประเด็น “อุทธรณ์คดี ม.112” มาปั้นว่า.. “เมื่อความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น ชาติก็บรรลัยสิครับเพราะชาติใดไร้ธรรมอำไพชาตินั้นบรรลัยแน่นอน
จับตาดูกันต่อไปว่าการข่มเหงรังแก นายทักษิณ ชินวัตร ยิ่งมากขึ้นเท่าใด ความสงสารก็จะท่วมท้น มากขึ้นเท่านั้น”
อืออ..ก็ไม่อยากจับตาแล้ว เพราะหลายเรื่องที่กูรูใหญ่นั่งทางใน ล้วนแล้วแต่..
“ขี้หมา” ทั้งเพ!.

