ผักกาดหอม
ในบรรดาลูกน้อง หรือภาษานักเลงเรียกว่า ลูกสมุน ที่รู้ใจ “น.ช.ทักษิณ” มากที่สุด คงหนีไม่พ้น “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แชมป์โต้วาทีมัธยมศึกษา
ฉะนั้นเรื่องคำพูด คารม หายห่วง ไม่มีใครกิน “เสือเต้น” ได้ลง
ขนาด “จตุพร พรหมพันธุ์” ยังต้องกลืนเลือด นายใหญ่มิได้หยิบยื่นอะไรให้เลย ผิดกับ “ณัฐวุฒิ” ได้เป็นใหญ่เป็นโต นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
วันนี้ “ณัฐวุฒิ” ยังอยู่ในเส้นทางที่จะเป็นใหญ่เป็นโต เป็น ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ตำแหน่งที่ตั้งขึ้นมาเพื่อกำหนดสถานะของคนในพรรคเพื่อไทย มี “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
แสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดกับ “น.ช.ทักษิณ” ฉะนั้นในวันที่ร้ายๆ ของ “น.ช.ทักษิณ” ก็มักจะมี “ณัฐวุฒิ” เคียงข้างเสมอ
และช่วงเวลาแห่งความดำดิ่งนี้ก็เช่นกัน อัยการยื่นอุทธรณ์คดี ม.๑๑๒ ศาลฎีกาพิพากษาให้ “น.ช.ทักษิณ” จ่ายภาษีการขายหุ้นชินคอร์ป ๑.๗ หมื่นล้านบาท “ณัฐวุฒิ” กระโดดออกมาปกป้องนายใหญ่ทันที
สมกับสโลแกน “ผมรับผิดชอบเอง” จริงๆ
“…๑๓ มี.ค. ๒๕๖๐ ยุครัฐบาล คสช. ดร.วิษณุ เครืองาม เรียกประชุมนักกฎหมายคนสำคัญกลุ่มหนึ่ง เพื่อหาแนวทางเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป ทั้งที่กรมสรรพากรเคยมีข้อสรุปไปแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี เพราะเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
๑๔ มี.ค. เรื่องเข้าที่ประชุม ครม. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลให้สัมภาษณ์ว่า การเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป เป็นเรื่องที่มีกฎหมายเล็กซ่อนอยู่ในกฎหมายใหญ่ ดร.วิษณุ เครืองาม ใช้คำว่าทำไม่ได้ แต่ทำได้ด้วย ‘อภินิหารของกฎหมาย’
โฆษกไก่อูบอกด้วยว่า ต้องเชิญเกจิอาจารย์ที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้มาประชุมกันถึงคิดออก
คำว่าอภินิหารทางกฎหมาย เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลั่นประเทศจากหลายฝ่าย ว่ากฎหมายที่ไหนมันจะมีอภินิหาร และในที่สุดศาลก็ตัดสินกรณีนี้ ให้ ดร.ทักษิณต้องจ่ายภาษีกว่า ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท หลังจากยึดทรัพย์จากการขายหุ้นไปแล้ว ๔๖,๐๐๐ ล้าน
ความคิดเห็นของคนต่อเรื่องนี้มีหลายแบบ จำนวนมากเห็นใจ ดร.ทักษิณที่ถูกกระทำไม่จบสิ้น บางฝ่ายก็เห็นด้วยกับคำพิพากษา แต่สำหรับผมมองว่านี่คือความอยุติธรรม
ไม่ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใคร ผมก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน จะให้ยอมรับสิ่งที่เรียกว่าอภินิหารของกฎหมายเป็นเรื่องเกินวิสัย
วันเดียวกับที่ศาลตัดสินเรื่องภาษี อัยการสูงสุดก็มีคำสั่งให้อุทธรณ์คำพิพากษาคดี ๑๑๒ ซึ่งเหตุเกิดจากการแจ้งความของผู้บัญชาการทหารบก ในรัฐบาล คสช.เช่นเดียวกัน
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ถือเป็นวันแห่งข่าวร้ายวันหนึ่งของ ดร.ทักษิณ นี่คือนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งที่มีผลงานเพื่อประชาชนมากที่สุด และต้องพบเจอวันแห่งข่าวร้ายจากการถูกกระทำทางการเมืองมากที่สุดในคนเดียวกัน
ส่วนที่วิเคราะห์กันว่าการยื่นอุทธรณ์จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขอพักโทษ แม้อาจเป็นเจตนาของผู้มีอำนาจ แต่ต้องไปดูหลักเกณฑ์กันให้ชัด ขณะนี้ ดร.ทักษิณต้องโทษ ๑ ปีจากทุกคดีซึ่งได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ ไม่ถูกศาลออกหมายขังในคดีอื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในคดี ๑๑๒ ถึงอัยการยื่นอุทธรณ์ก็ถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งมีกรณีตัวอย่างหลายรายที่กระบวนการพักโทษดำเนินการตามสิทธิ์และคุณสมบัติของผู้ถูกจำขังได้
ในสังคมที่มีความขัดแย้งทางการเมืองยาวนาน ประชาชนแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย บ้านเมืองจะมีความหวังเมื่อทุกผู้คนล้วนเข้าถึงความยุติธรรมได้ และต้องไม่มีใครได้ประโยชน์จากความอยุติธรรม…”
ขอบคุณที่ช่วยไล่ไทม์ไลน์ให้เห็นอภินิหารที่เกิดกับ “น.ช.ทักษิณ”
แต่ก็รวบรัดจนข้ามข้อเท็จจริงไปเยอะพอควร
ยกตัวอย่างที่บอกว่า “ขณะนี้ ดร.ทักษิณต้องโทษ ๑ ปีจากทุกคดีซึ่งได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ ไม่ถูกศาลออกหมายขังในคดีอื่น”
กว่าจะกลับเข้าคุกได้ ก็เกิดอภินิหารทางกฎหมายมากมาย
พรรคเพื่อไทยใช้คำว่า อภินิหารของกฎหมาย อย่างพร่ำเพรื่อมาหลายปีแล้ว อาจซึมลึกเข้าไปในดีเอ็นเอ จนลืมไปว่าปรากฏการณ์นักโทษห้องวีไอพี ชั้น ๑๔ ก็เป็นมหาอภินิหารทางกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย
ไร้สำนึกทั้งลูกพี่ลูกสมุนบังอาจจะขอพักโทษอีก
กลับไปดูฎีกาที่ “น.ช.ทักษิณ” ถวายในหลวงอีกทีเถอะครับ เขียนไว้ว่าอย่างไร ถ้าสำนึกจริง ควรจะติดคุกอยู่เงียบๆ ให้ครบปี
ส่วน ม.๑๑๒ ก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน สุดท้ายถ้าไม่ผิด ก็ไม่ผิด มันก็เท่านั้นเอง
แต่…ประเด็นสำคัญคือ “น.ช.ทักษิณ” และบรรดาลูกสมุน มองเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงมิติเดียว คือมิติของตัวเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้ เป็นมากกว่าคำพิพากษา
มีการสอดแทรกเรื่องคุณธรรมเข้ามาด้วย
“…ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า การที่โจทก์ให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นแทน เป็นการกระทำที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย
ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิพากษากลับ…”
ทำให้นึกถึงคำวินิจฉัยส่วนตนของ “ประเสริฐ นาสกุล” อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีซุกหุ้น
“…หัวใจของการเมืองคือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้นนักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่าการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบัน มีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังใช้วิธีการแบบเดิมๆ อีกย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง (ทักษิณ ชินวัตร) จะต้องผิดหวังในที่สุด”
“…ปัญหาของบ้านเมืองบางอย่าง อาจแก้ไขได้โดยไม่ต้องใช้เงินทองเลย เพียงแต่ผู้นำของประเทศต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี โดยการ คิด พูด และทำตรงกัน และชี้นำประชาชนในชาติว่า ปัญหาของชาตินั้นอยู่ที่ทุกคนจะต้องร่วมใจกันแก้ไข ด้วยการลด ละ และเลิก ‘ความเห็นแก่ตัว’ เป็นอันดับแรก ยิ่งทำได้มากและรวดเร็วเท่าใด จะสามารถนำพาชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤตสู่ความเป็นปกติรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น หากไม่แก้ไขความเห็นแก่ตัวก่อนแล้ว เห็นว่าหมดหวัง เพราะไม่มีทางอื่นใดที่จะแก้ไขปัญหาของชาติในเวลานี้ได้…”
๒ คำพิพากษานี้อธิบายถึงความเป็น “ทักษิณ” อย่างชัดเจน
ก็ไม่แปลกที่วันนี้ “ทักษิณ” อยู่ในคุก!

