ผักกาดหอม
รู้สึกขัดเคืองใจ…
ขบวนการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ใช้สื่อโซเชียลสร้างความเข้าใจผิด กรณีที่รัฐบาลขอความร่วมมือแสดงความอาลัย ร่วมกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ปั่นข่าวว่า ยุติหมดห้ามจัดงานรื่นเริงทั้งหมดเป็นเวลา ๑ ปี แล้วชาวบ้านจะเอาอะไรกิน
มติคณะรัฐมนตรีไม่ได้บอกแบบนั้น
สิ่งที่สื่อออกจากรัฐบาลมีการเผยแพร่ในสำนักข่าวต่างๆ มากมาย
๑.ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา ๓๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป
๒.ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์ มีกำหนด ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป
สำหรับประชาชนทั่วไป ขอให้พิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม
มีคำอธิบายเพิ่มเติมจาก นายกฯ อนุทิน ที่ขอความร่วมมือภาคธุรกิจบันเทิง และสถานบันเทิง งดหรือลดกิจกรรมเพื่อความบันเทิงตามความเหมาะสม
“…ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้สั่งห้ามภาคเอกชนจัดงานรื่นเริงหรือคอนเสิร์ต
ไม่ได้มีการห้ามอะไรที่เกินงาม…”
พวกที่จ้องจะเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกนี้เหมือนไม่ใช่คน ไร้ญาติพี่น้อง ไร้บรรพบุรุษ
ไม่รู้ว่าสิ่งที่พึงปฏิบัติในสังคมเป็นอย่างไร
เป็นพวกดิบๆ เกิดจากกอไผ่ ไร้ราก ไร้วัฒนธรรม
ไปดูเถอะครับในสื่อโซเชียลคนพวกนี้มีความคิดความอ่านที่ระยำมาก
พ่อแม่ตัวเองตายคนพวกนี้คงไม่รู้จักคำว่าไว้ทุกข์
ครับ…ไปดูโพสต์ของ “เอ็ดดี้ อัษฎางค์” เผื่อแผ่นดินจะสูงขึ้นมาบ้าง
“…จะรอดูคนไหนก็ตามที่มีอคติ หรือต่อต้าน หรือไม่เห็นด้วยกับการไว้ทุกข์ให้ในหลวง ร.๙ และสมเด็จพระพันปี เวลามีญาติตาย มีการไว้ทุกข์หรือไม่ นานแค่ไหน ห้ามมีงานรื่นเริงหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในครอบครัวคนจีนในประเทศไทย
ครอบครัวคนจีนในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงรักษาขนบการ ‘ไว้ทุกข์’ เมื่อมีญาติผู้ใหญ่หรือญาติใกล้ชิดเสียชีวิต โดยถือเป็นการแสดงความเคารพ อาลัย และกตัญญูต่อผู้ล่วงลับ ซึ่งมีทั้งข้อปฏิบัติและข้อห้ามตามธรรมเนียมจีนผสมกับแบบไทยในสังคมปัจจุบัน
ตามธรรมเนียมดั้งเดิม คนจีนจะไว้ทุกข์ระยะเวลาต่างกันตามฐานะของผู้ตาย
สั้นที่สุดคือ ๔๙ วัน
ปกติประมาณ ๑๐๐ วัน
ครอบครัวที่เคร่งมากอาจไว้ทุกข์ถึง ๑ ปี หรือยาวสุดถึง ๓ ปี โดยเฉพาะหากเป็นพ่อแม่หรือคู่สมรสมักจะไว้ทุกข์ถึง ๑ ปี หรือ ๓ ปี
ลูกหลานสายตรง เช่น บุตร จะสวมชุดผ้าดิบหรือกระสอบ (หมั่วซา) แสดงถึงความอาลัย ส่วนหลานเหลนใส่ชุดสีขาวหรือเทา เพราะสีขาวเป็นสีแห่งความตายของจีน (ไม่ใช่สีดำ)
ผู้ไว้ทุกข์มักห้ามตัดผม ๑๐๐ วัน และจะเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสีเขียวหรือน้ำเงินหลังครบ ๑ ปี ก่อนจะกลับไปใส่สีแดงหรือสีสดใสได้
บางคนจะคาดสายไว้ทุกข์ (ริบบิ้นขาวหรือดำ) ที่ข้อมือซ้ายเพื่อแสดงการไว้ทุกข์
ในช่วงไว้ทุกข์ มีข้อห้ามและข้อควรระวังตามธรรมเนียม เช่น
งดร่วมงานรื่นเริง งานแต่ง งานมงคล หรือการเฉลิมฉลองทุกชนิด โดยเฉพาะภายใน ๑๐๐ วัน หรือบางครอบครัวงดถึง ๑ ปี
ห้ามใส่เสื้อผ้าสีสดหรือสีแดง เพราะถือว่าไม่เหมาะสมในช่วงโศกเศร้า
ห้ามตัดผมหรือตัดเล็บภายในช่วงเวลาไว้ทุกข์ โดยเฉพาะ ๔๙-๑๐๐ วันแรก
ผู้หญิงมักงดการแต่งกายหรูหราและไม่แต่งหน้าในช่วงไว้ทุกข์ เพื่อแสดงความเรียบสงบและเคารพผู้ตาย
จะรอดูว่า คนไหนที่ไม่เห็นด้วยกับการไว้ทุกข์ให้ในหลวง ร.๙ และสมเด็จพระพันปี แล้วตัวเองอยู่ในครอบครัวคนจีน ตัวเองจะกล้าต่อต้านหรือไม่ทำตามประเพณีของครอบครัวหรือไม่ สังคมมาช่วยกันติดตามดู…”
ตามดูได้ครับ พวกเซาะกร่อนบ่อนทำลายหน้าหมวยหน้าตี๋เพียบ!
ปัจจุบันก็ผ่อนปรนกันไปเยอะ แต่มิได้หมายความว่า ให้เลิกรำลึกถึงบรรพบุรุษของตนเอง
การรำลึกมีวิธีการที่หลากหลาย แต่ต้องไม่ลืมรากเหง้าของตนเอง
คนเรายังจำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองมาจากไหน
ใครเป็นบรรพบุรุษ
แต่ไอ้ที่น่าผิดหวังหนักกว่าคือกระทรวงศึกษาธิการ โดยรัฐมนตรีนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ออกประกาศให้หน่วยงานในสังกัดและสถานศึกษาทุกแห่ง งดจัดงานที่มีบรรยากาศรื่นเริงทุกประเภท เป็นเวลา ๑ ปี
เกินไปครับ!
มันเกินมติคณะรัฐมนตรี
อยากจะให้ประเทศหยุดนิ่งหรือครับ
ในโซเชียลถล่มกันเละเหมือนกัน
โพสต์ของ “พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค” “รอยัลลิสต์” เบอร์ต้นๆ ของประเทศไทยออกโรงเองเลย
“…นายกฯ อนุทินกลับมาจากมาเลย์…ช่วยเรียกยัยรัฐมนตรีเอ๋อนี่มาอบรมให้ฉลาด และเปลี่ยนนโยบายคำสั่งแบบเด็ดขาดแต่ตื้นเขินนี้ ให้มีแนวทางที่มีกุศโลบายที่ฉลาดกว่านี้หน่อยเถิด… ถ้าเปลี่ยนนางไปกระทรวงอื่นที่มีผลต่อเยาวชนน้อยกว่านี้ได้ ก็จะเป็นพระคุณยิ่ง…
ผู้บริหารจำไว้เป็นบทเรียนว่า…ในมุมกลับที่ดูเป็นการถวายความจงรักภักดีอย่างสูงและเคร่งครัดนั้น อาจจะกลับกลายเป็นการทำให้ความโกรธเคืองของผู้ได้รับผลกระทบพุ่งตรงไปสู่สถาบันเบื้องสูง โดยที่พระองค์ท่านไม่ทรงรู้เรื่องด้วยเลย…
ประเทศไทย เป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม”
สังคมที่เปลี่ยนไป คนเป็นรัฐบาล ถวายงานรับใช้เบื้องสูงจำต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ว่าสิ่งที่สื่อสารกับประชาชนนั้นเหมาะควรหรือไม่
ไม่ใช่เอาแต่ปกป้องตัวเองจนไม่ดูบริบทของสังคม
ไม่งั้นก็เลิกจัดให้หมด ไม่ว่าจะเป็นงานวันเด็ก วันครู
จะเอาแบบนั้นหรือท่านรัฐมนตรี.

