เปลว สีเงิน
ทั้งรู้…ด้วยเข้าใจใน “สัจธรรม”
แต่ยากข่มความแห้งโหยในหัวใจ เมื่อทราบข่าว
“สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” เสด็จสู่สวรรคาลัย จากแถลงการณ์ตอนเช้าของวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๙
รู้สึกหนึ่งวาบในอก…..
จากนั้น ภาพ “พระแม่ของแผ่นดิน” ที่ตามเสด็จฯ “พ่อหลวงบนฟ้า” ที่เสด็จฯ ไปทรงดูแลสารทุกข์สุขดิบราษฎรในแถบถิ่นทุรกันดาร ทั้งเหนือ-อีสาน-ใต้ ต่อเนื่องเป็นเดือน-เป็นปี ที่ผมเห็นตอนเป็นเด็กตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๐ เรื่อยมา ก็ผุดขึ้นในความทรงจำ
ทั้งสองพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์และพระบรมราชินีนาถที่เหนื่อยยาก-ตรากตรำที่สุดในโลก
เป็นเหนื่อยยาก-ตรากตรำเพื่อชีวิตความเป็นอยู่พสกนิกรของพระองค์ดีขึ้นโดยแท้
“ป่า-เขา” คือเวียงวัง
ที่สองพระองค์ทรงประทับมากกว่าปราสาทราชวังเสียด้วยซ้ำ เมื่อ ๕๐-๖๐ ปีที่แล้ว
บัดนี้ ทั้ง “สองพระองค์” ไม่อยู่แล้ว
เสด็จคืนสู่สวรรคาลัยแล้ว!
ลูกๆ คือพสกนิกรของพระองค์ที่เติบโตและแก่เฒ่ากันไปตามเวลา น่าจะมี “ความสำนึกรู้” ว่า ณ กาลนี้ สิ่งใดควรทำ และสิ่งใดควรงดเว้น
ส่วนผู้ที่เรียกตัวเองว่า “คนรุ่นใหม่” ด้วยอารยะแห่งความเป็นคน เรื่องความรู้สึก-นึก-คิด เป็นสิทธิ์ของท่าน
แต่การแสดงออกนั้น โปรดใช้ความเป็น “คนรุ่นใหม่” เคารพสังคมส่วนใหญ่ที่ได้ชื่อว่า “สังคมไทยเป็นสังคมคนอารยะ” ด้วย
ก็นั่งคิด นั่งทบทวนอยู่คนดียวเหงาๆ….
น้ำตามันหยดลงมาเองโดยไม่รู้ตัว!
เอาละครับ “สุข-ทุกข์คลุกเคล้า” มันก็เป็นเช่นนี้แหละ เราก็ต้องทำความเข้าใจ ว่าถึงอย่างไร “ทุกชีวิต” ก็ต้องเดินกันต่อไป
เมื่อวาน (๒๖ ต.ค.๖๘) “ไทย-เขมร” โดยนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ฝ่ายไทย และนายกฯ ฮุนมาเนต ฝ่ายเขมร
ก็ได้ลงนามใน “ปฎิญญาว่าด้วยแนวทางปฎิบัติไปสู่เส้นทางสันติภาพ” ในที่ประชุมอาเซียน ซัมมิต ที่มาเลเซีย
โดยมีประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนายกฯ อันวาร์ แห่งมาเลย์ฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน
ถ้อยแถลงในปฎิญญา “ส่งมอบสันติภาพ” ครั้งนี้ หาอ่านได้ทั่วไป อ่านแล้ว ก็คงเข้าใจบ้าง สงสัยอยากได้คำอธิบายเพิ่มเติมบ้าง
เพื่อความกระจ่างในข้อสงสัย ผมจะนำที่นายกฯ อนุทิน “ไลฟ์สด” ถึงประชาชนคนไทย ก่อนลงนามในปฎิญญามาให้อ่าน แล้วทุกข้อสงสัย จะมีคำตอบ
……………………………………………….
Anutin Charnvirakul
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่านครับ
วันนี้ เช้าที่ ๒๖ ตุลาคมนะครับ ผมมาพบกับท่านจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
วันนี้ เราก็จะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้น ซึ่งน่าจะมีผลดีกับประเทศไทย คือเราจะมีการประชุมอาเซียนซัมมิตที่มาเลเซีย
และจะมีการลงนามในปฎิญญาแนวทางในการเจรจาและการปฎิบัติไปสู่สันติภาพของประเทศไทยและกัมพูชา
มีความห่วงกังวลกันว่า……
“การเจรจาของพวกผมนั้น จะทำให้ไทยเสียเปรียบหรือไม่?”
ผมตัดสินใจมาพบทุกท่านวันนี้ด้วยการไลฟ์เฟซบุ้ก เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า
ในปฎิญญาทั้ง ๔ ข้อ ที่จะลงนามกับรัฐบาลกัมพูชาในวันนี้ “ไม่มีข้อไหนที่จะให้ไทยเสียเปรียบแม้แต่ข้อเดียว”!
ปฎิญญานี้ “ไม่ใช่สนธิสัญญา”
ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปขอการรับรองจากรัฐสภา แต่ได้รับการรับรองจาก “คณะรัฐมนตรี” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หัวข้อหลักใหญ่ๆ ๔ ข้อ ที่ทางรัฐบาลกัมพูชาจะต้องไปดำเนินการ ซึ่งผมเคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไปหลายครั้งแล้ว
ทั้ง ๔ ข้อ
๑.ก็คือการถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน
๒.การเก็บกู้วัตถุระเบิด
๓.การร่วมมือกันปราบแก๊งสแกมเมอร์และอาชญากรรมเทคโนโลยี และ
๔. การหาแนวทางในการบริหารพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
ซึ่งทั้ง ๔ ข้อ พี่น้องประชาชนจะเห็นได้เลยว่า “จะต้องเริ่มจากทางฝ่ายกัมพูชาก่อน”
เมื่อเขาเริ่มแล้ว เราถึงจะมาประเมิน แล้วก็ดำเนินการต่อไปของเรื่องทำให้เกิดสันติภาพในความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสอง
“ยังไม่มีนะครับ ที่ว่าเราจะเปิดด่าน …..
ยังไม่มี ที่ว่า เราจะต้องยอมเสียดินแดน…เดี๋ยวจะเสียดินแดน…เดี๋ยวจะสร้างรั้ว…เดี๋ยวจะใช้พื้นที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐”
ตอนนี้ “ประเทศไทย ไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขตรงนี้เลย”!
สิ่งที่จะนำไปสู่การปฎิบัติของทั้ง ๒ ประเทศ ที่จะทำให้เกิดสันติภาพ เกิดความสงบในพื้นที่ชายของทั้ง ๒ ประเทศ และก็ความสัมพันธ์ของทั้ง ๒ ประเทศ
อย่างที่ผมเรียนครับ….
เราไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครเลย แม้แต่คนเดียว เรารักสงบอยู่แล้ว ในเพลงชาติก็บอกว่า “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด”
สิ่งที่ประเทศไทยเราได้ปฎิบัติมาตลอด ตั้งแต่เรามีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับกัมพูชา เราก็ยังยึดมั่นอยู่ในกรอบนี้ครับ ไทยนี้รักสงบ ถึงรบเราไม่เคยขลาด
เพราะฉะนั้น ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้รับความมั่นใจว่า
รัฐบาลไทย ทั้งกองทัพ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เราทำงานอย่างหนัก กว่าจะมาถึงจุดนี้
ก็ขอให้ท่านได้มั่นใจอีกครั้งหนึ่งว่า ผมไม่ทราบว่าจะพูดได้อย่างไร?
แต่ผมก็มีประสบการณ์ในการเจรจามา ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ทั้งด้านภาคเอกชน ผมยังไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อยว่า
ในปฎิญญาที่เราจะลงนามกับกัมพูชาในวันนี้ โดยมีนายกฯ มาเลเซีย และประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริการ่วมเป็นสักขีพยาน
“เรายังไม่เห็นจุดใดที่จะทำให้ประเทศไทยของเราเสียเปรียบ”
ผมไม่ได้มองในด้านใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ แต่ผมมองในด้านความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน
การที่จะทำให้ประเทศไทยรักษาเกียรติภูมิ รักษาอธิปไตยและรักษาดินแดนเอาไว้ได้ทุกอย่าง
การที่จะต้องไปตกลงกันเรื่องเขตแดนต่างๆ ว่า เรายอมแผนที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐ แล้ว
“ไม่มีความเป็นจริงนะครับ…..
เราไม่เคยยอมในแผนที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐”
แต่ตอนนี้ มันมีเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมา ที่เรียก LiDAR เมื่อนำไปสู่การเจรจาในเรื่องการปักปันเขตแดนให้ครบ ก็จะใช้เทคโนโลยีนี้มา
ซึ่งแผนที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐ ก็จะหมดไปโดยปริยายนะครับ ก็จะใช้การเจรจาบนหลักของความเป็นจริง โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้มากที่สุด
ซึ่ง “ทั้ง ๒ ฝ่ายก็ตกลงกันตามนี้”
ก็ขอกำลังใจครับ เดี๋ยวอีกไม่มีกี่ชั่วโมงก็จะได้ลงนามในปฎิญญานี้แล้ว
ขอย้ำนะครับ “ไม่ใช่สัญญาสงบศึก” ไม่ใช่ peace agreement เป็น joint decoration หรือที่เรียกว่า “แนวทางที่จะดำเนินไปสู่การสร้างสันติภาพในดินแดนของทั้งสองประเทศ”
ก็ขอให้มั่นใจอีกครั้งว่า…..
พวกเราทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้นะครับ ไม่ใช่เป็นการตกลงกันเพียงวัน-สองวัน มีการประชุมหาข้อตกลงกันมาระยะหนึ่งแล้ว
บางครั้งก็ล้มเหลว บางครั้งก็สำเร็จในที่สุด ผมเชื่อว่าด้วยการยึดหลักความถูกต้องของประเทศไทย เราจึงทำให้ “คู่กรณียอมรับ” ในสิ่งที่เป็นเงื่อนไขที่ “เราเสนอไป” ทุกข้อ
ก็ขอกราบเรียนพี่น้องประชาชนมาแต่เพียงเท่านี้นะครับ หวังว่า เมื่อการดำเนินการลงปฎิญญาเกิดขึ้นแล้ว ทางผู้สื่อข่าวก็คงจะมีการรายงานให้พี่น้องปราชนได้ทราบต่อไป
หากมีอะไรที่เป็นความสำคัญ มีความจำเป็น ผมก็จะขออนุญาตมาพบกับท่านอีกครั้งหนึ่งนะครับ เมื่อลงนามเรียบร้อยแล้ว ก็จะรีบเดินทางกลับประเทศไทย
เพื่อไปร่วมในพระราชพิธีพระบรมศพของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ร่วมกับพี่น้องประชาไทยทุกคนครับ
ผมมั่นใจครับ ว่าเราจะต้องมีชัย และจะทำให้ดีที่สุดเพื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา
และก็พี่น้องประชาชนที่ผมถือเสมือนเป็นผู้บังคับบัญชา เป็นเจ้านายของผมตลอดเวลานะครับ
ขอบคุณมากนะครับ แล้วพบกันครับ.
……………………………………………….
นี่เท่ากับ “กุญแจไข” ปฎิญญาส่งมอบสันติภาพ ในประเด็นที่เรา “คาใจ-สงสัย” กันอยู่
ก็มีคำตอบชัดแล้วจากนายกฯ อนุทิน
๑.ปฎิญญานี้ ไม่ใช่สนธิสัญญา
๒.ปฎิญญานี้ ยังไม่ใช่ข้อตกลง “สันติภาพไทย-เขมร”
๓.ปฎิญญานี้ เป็น ๔ เงื่อนไขจากไทยที่เขมรต้องนำไปทำให้เกิดผลเป็นที่พอใจของฝ่ายไทยก่อน ค่อยไปพูดกันเรื่องสันติภาพ
๔.ยังไม่มีการเปิดด่าน ไม่มีการเสียดินแดนใดๆทั้งสิ้น
๕.ไม่มีการยอมรับแผนที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐ จากไทย
๖.ในการปักปันเขตแดน ไทย-เขมร เห็นพ้องต้องกัน ใช้เทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการทำแผนที่ภาพถ่าย
ซึ่งสามารถกำหนด “สันปันน้ำ” ได้ชัดเจน-แม่นยำ เท่ากับยกเลิก แผนที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐ ไปโดยปริยาย
เนี่ย….ประเด็นหลักๆ จะเป็นแนวนี้!
ก็มาถึงคำถามจากชาวบ้านร้านตลาด “เชื่อหรือว่าเขมรมันจะทำตามปฎิญญา?”
“ไม่เชื่อ” นี่คำตอบผมเอง ไม่ใช่จากนายกฯ อนุทิน!
แล้วที่ฮึ่มๆ กันอยู่ ทั้งที่อีสานใต้ สระแก้ว และจันทบุรี-ตราด เขมรจะเลิกรา ไม่มาวอแวกับเราอีกแล้วใช่มั้ย?
คำตอบผมคือ เตรียมบรรจุลูกกระสุนรอไว้ได้เลย งูเห่ากับพังพอนเป็นยังไง ไทย-เขมร ก็เป็นอย่างนั้น
สันติชั่วคราวน่ะ…มี แต่สันติถาวร “ชาติหน้า” ก็ยังหาไม่เจอ!
แต่ประเด็นที่ควรจับตา ระหว่าง “สงครามโลก ครั้งที่ ๓” กับสงครามชายแดนไทย-เขมร
อย่างไหนจะ “ตูมตาม” ก่อนกัน น่าสนใจกว่าเยอะเลย!
เปลว สีเงิน
๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๘

