สันต์ สะตอแมน
ปี 64.. “จ่าบุญถม” จากไปอย่างสงบ..
รุ่งขึ้น..ปี 65 “เพิก ชุมแพ” ก็ได้ลาลับไปอีกคน ตามด้วย “ผู้ใหญ่เสือ” ในปี 66 ก่อนที่ “ผู้กองไชโย” จะได้ออกเดินทางตามรุ่นพี่ทั้งสามไปเมื่อใกล้จะหมดปี 2568..
ส่วนเขาจะไปพบกัน ณ ที่แห่งหนใดนั้น..ใครรู้ก็ช่วยบอกที!
ครับ..ผมคนบ้าหนังไทย ก็อย่าได้ถือสาเพราะหลังทราบว่า “คุณนาท ภูวนัย” อดีตพระเอกชื่อดังระดับตำนานของวงการภาพยนตร์ไทย ได้จากไปอย่างสงบในวัย 79 ปี
นอกจากจะได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้วายชนม์ตรงนี้ ใจหนึ่งก็ให้ประหวัดถึงหนังไทยเรื่อง “ชุมแพ” ผลงานการกำกับของ “จรัล พรหมรังสี” ขึ้นมาดื้อๆ
และให้เห็นภาพ “ตัวละคร” ของหนังเรื่องนี้แบบจดจำแทบทุกตัว ไม่ว่าจะเป็น “จ่าถม นิยมไถ” ที่แสดงโดย “เกชา เปลี่ยนวิถี” ตัวพ่อดาวร้ายแห่งวงการ..
“ผู้ใหญ่เสือ” รับบทโดย “มานพ อัศวเทพ” พระเอกตลอดกาล “สมบัติ เมทะนี” ที่รับบท “เพิก ชุมแพ” และ “นาท ภูวนัย” กับบท “ผู้กองไชโย” ตำรวจผู้ตงฉิน!
เนี่ย..ไม่ต้องพูดถึงฉากที่ “ดอน” รับบทโดย ลักษณ์ อภิชาติ ต่อสู้กับ “ภู น้ำพอง” ที่รับบทโดยคุณดามพ์ ดัสกร บนหลังคารถโดยสารที่กำลังแล่นอยู่ (จริง)
สมัยนั้นถือเป็น “ฉากเสี่ยงตาย” ที่ตื่นเต้น-ระทึกใจของคนดูจนได้รับการกล่าวขานและเป็น “ฉากจำ” ของหนังชุมแพมาจวบจนวันนี้!
ซึ่งหากนับปี..ปีหน้า-69 หนังเรื่องนี้ก็มีอายุครบ 50 ปี ทั้งพระเอก-ทั้งผู้ร้ายต่างก็ล้มหายตายจากไปทีละคนๆ ส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็เห็นจะหง่อมไปตามๆ กัน
อย่างไรก็ตาม “นาท ภูวนัย” ก็หาใช่พระเอกระดับตำนานคนสุดท้ายที่มาลาจากโลกไปเพราะในรุ่นนี้เท่าที่กวาดสายตาเห็น..
ยังมีพระเอกจอมยียวน (อดีต) คุณกรุง ศรีวิไล ยืนโด่เด่อยู่อีกคน แม้จะเริ่มอ่อนล้าลงบ้างตามวัย แต่ยังเดินเหินอย่างกระฉับกระเฉง-แข็งแรงดีอยู่!
แต่จะพูดไป ปีสองปีจากที่ได้พบหน้าเจอตา คุณนาทก็ไม่มีวี่แว่ว-ทีท่าถึงการเป็น “คนป่วย” ให้เห็นแต่อย่างใด ยังดูเป็นปกติ มีมาดเท่ๆ ของ “ผู้กองไชโย” หลงเหลือให้ได้เห็นอยู่
และนี่..ก็คือบทสรุปของความเชื่อ (ของผม) ..ทุกคน ล้วนต่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่มีบังเอิญ ไม่มีแคล้วคลาด ถึงเวลาเมื่อไหร่ เข็มนาฬิกาชีวิตก็หยุดลงเมื่อนั้นแล!
เอาล่ะ..คนที่ตายก็ต้องเอาไปฝัง คนที่ยังก็จงทำความดี (โอ๊ยมันบ่แน่หรอกนาย) แล้วนั่นอ่านที่คุณอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา โพสต์กันแล้วใช่ไหม?
ยาวหน่อย แต่ก็ได้เข้าใจเจตนา-ความรู้สึก โดยเฉพาะท่อนท้าย.. “ดิฉันขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก
ที่ออกมาปกป้อง ห่วงใยดิฉันและครอบครัว รวมถึงคุณสุณัย และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ดิฉันขอเรียนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ทำให้ดิฉันและคุณสุณัย ท้อถอยในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน แต่จะเป็นพลังผลักดันให้อุทิศตนทำงานมากขึ้น
ดิฉันจะยังคงทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพของประชาชน
โดยเฉพาะเสรีภาพสื่อที่ดิฉันเชื่อมั่นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน และการทำหน้าที่เป็นปากเสียงของประชาชาชน…
น่าเสียดายที่วันนี้เสียงของความเกลียดชังจากบรรดาอินฟลูฯ รวมถึงสื่อต่างๆ ที่พยายามบดขยี้คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนดังมาก
จนทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงของดิฉันและคุณสุณัยที่ห่วงใยและปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง อย่างไรก็ดีดิฉันเชื่อมั่นว่าในที่สุดความจริงจะปรากฏ และความเป็นธรรมจะกลับคืนมา…
สุดท้าย ดิฉันขอเน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงความขัดแย้ง หรือสงคราม ไม่ใช่อานุภาพของอาวุธในการทำลายล้าง แต่คือ การมองเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของบุคคลทุกคน”
ก็..นี่ไงที่คนเขาตั้งคำถาม..ถ้ามองเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของทุกคน การที่ทหารไทยต้องสูญเสียชีวิตและเสียขาไปจากการถูกกับระเบิดของฝ่ายกัมพูชา..
ทำไมทั้งสองไม่เคยออกมาแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด?.
