ผักกาดหอม
การเมืองมันโหดร้าย…
การมีอำนาจแล้วใช้อำนาจรับใช้คนไม่กี่คนไปในทางที่สุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมาย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระบอบทักษิณ
ที่ผ่านไปหยกๆ คือหมอโรงพยาบาลตำรวจ
ในไม่ช้าคนในกรมราชทัณฑ์ก็ไม่รอด
“ทวี สอดส่อง” นอนก่ายหน้าผากทุกคืน
“ทักษิณ” อาจได้ติดคุกต่อ
คดีเก่ายังไม่จบ คดีใหม่จ่อเข้ามา
วานนี้ (๓๐ กันยายน) ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีกลาโหม ขณะนั้น รวมทั้งพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรียุติธรรมในขณะนั้น สิ้นสุดลง เฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐(๔)
จากกรณีผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง (๒) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่ และอำนาจของ กกต. โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม
จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มี ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม อย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๐ (๔) และ (๕) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐ (๔) และ (๕) หรือไม่
ย้อนไปในช่วงทั้งคู่อยู่ในอำนาจ มีเสียงเตือนจากทุกทิศทาง ว่าเป็นการแทรกแซง กกต.และดีเอสไอ
ใช้ กกต.และดีเอสไอเป็นเครื่องมือทางการเมืองเอาคืนพรรคภูมิใจไทย
วันนั้น “ภูมิธรรม-ทวี” ไม่ฟัง เพราะมัวแต่ฟัง “ทักษิณ” คนเดียว
คดีนี้ไปต่อครับ…
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ๖ ต่อ ๒
เสียงข้างมากวินิจฉัยว่า การพิจารณาคดีดำเนินต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๕๑
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน ๖ คน คือ
นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์
นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม
นายจิรนิติ หะวานนท์
นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์
นายอุดม รัฐอมฤต
และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
เสียงข้างน้อย จำนวน ๒ คน คือ
นายวิรุฬห์ แสงเทียน
และนายนภดล เทพพิทักษ์
ทั้งสองเห็นว่า เมื่อผู้ถูกร้องทั้งสองพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๕๑
คดีนี้ต่างจากคดี “นิพนธ์ บุญญามณี” ที่ชิงลาออกจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทยไปก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยคดี ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี งดการวินิจฉัยคดี
เพราะความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ (๒)
“นิพนธ์” ลาออกก่อนศาลวินิจฉัย
ส่วน “ภูมิธรรม-ทวี” พ้นตำแหน่งไปก่อนที่ศาลจะรับคำร้อง
ไม่ต้องไปวิจารณ์สองมาตรฐานอะไรให้เลอะเทอะครับ
เหตุผลการรับคำร้องของ ๖ ตุลาการระบุเอาไว้ชัดเจน
“การพิจารณาคดีดำเนินต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๕๑”
เมื่อเห็นเหตุผลของ ๖ ตุลาการแล้ว เสียวแทนครับ
เพราะการแทรกแซงการใช้อำนาจ กระทบต่อประโยชน์สาธารณะอย่างชัดเจน
คดีนี้จะไปคล้ายคดี ถอดถอน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
“ยิ่งลักษณ์” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะยุบสภา จึงต้องรักษาการต่อ
ส่วน “ภูมิธรรม-ทวี” พ้นตำแหน่งไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
แต่ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากระบุว่า คดีนี้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
ขึ้นต้นมาแบบนี้นึกถึงตอนจบ ต้องมีบรรทัดฐานใหม่แน่ๆ
กว่าจะจบ “ภูมิธรรม-ทวี” คงนอนก่ายหน้าผากทุกคืน
ที่แทนจะปล่อยให้คดีฮั้ว สว.เดินไปตามช่องทางปกติ กลับใช้อำนาจทางการเมืองครอบงำคดี
ฮั้วเลือก สว.มีแน่ๆ คนที่มีหน้าที่จัดการคือ กกต.
บ้านเรานักร้องเพียบ ไม่ต้องกลัวว่าเรื่องจะเงียบ
หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม อย่างร้ายแรง ก็เรียบร้อยครับ กลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกไม่ได้
ยกเว้นรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ถูกฉีก แล้วรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่มีบทบัญญัตินี้อีกต่อไป
กรณีของ “ทวี” ยังไม่หมด
เรื่องที่ “ทักษิณ” ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งบังคับโทษ ๑ ปี ส่ง “ทักษิณ” เข้าคุกจริงๆ
วันนั้นปรากฏว่ากระทรวงยุติธรรมขยับกันคึกคัก
เอาจนหยดสุดท้ายจริงๆ
ยังมีคนไม่เข้าใจประเด็นการพระราชทานอภัยโทษอยู่พอสมควร
“อัษฎางค์ ยมนาค” โพสต์ข้อความเอาไว้ให้ความรู้กระจ่าง
“…ผู้ตัดสินใจในการอภัยโทษเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่ในหลวง ตามหลักการของ ‘การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการลงพระปรมาภิไธยในการพระราชทานอภัยโทษ
ซึ่งภาษากฎหมายนี้ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า ในหลวงเป็นผู้ตัดสินใจในการพระราชทานอภัยโทษ (เช่นกรณีพระราชทานอภัยโทษ ให้กับทักษิณ ชินวัตร)
แต่ขั้นตอนการ ‘เสนอเรื่องในการพระราชทานอภัยโทษ’ ขึ้นไปเป็นหน้าที่ของฝ่ายราชการ เช่น กระทรวงยุติธรรม คณะรัฐมนตรี หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผู้พิจารณา คัดกรองก่อนและตัดสินใจ
เมื่อเรื่องผ่านกระบวนการแล้วจึงนำขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธย
ดังนั้น พระมหากษัตริย์มิได้ทรงพิจารณาให้มีการ ‘พระราชทานอภัยโทษ’ โดยตรง แต่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ตามที่กระทรวงยุติธรรม คณะรัฐมนตรี หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทูลเกล้าฯ ขึ้นไป
พูดง่ายๆ คือ คนที่พิจารณาตัดสินใจในอภัยโทษเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนพระมหากษัตริย์ทรงทำหน้าที่ลงพระปรมาภิไธยตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เรื่องนั้นมีผลเป็นตามกฎหมาย…”
“ทวี” เป็นเป้านิ่งอีกคดี.
