ผักกาดหอม
ย้อนไป ๕๐-๖๐ ปีที่แล้ว การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ กับประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความขัดแย้งด้านอุดมการณ์กันอย่างสิ้นเชิง
มีคอมมิวนิสต์ต้องไม่มีพระมหากษัตริย์
มาวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ พฤศจิกายน
นับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทยในรอบ ๕๐ ปี นับตั้งแต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ยกย่องว่านี่คือการเปิดหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์
นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้นำจีนหลายท่านเข้าเฝ้าฯ เช่น เติ้ง เสี่ยวผิง, เจียง เจ๋อหมิน, หลี่ เผิง, หู จิ่นเทา และเวิน เจียเป่า เป็นต้น
ในปี ๒๕๒๑ รองนายกรัฐมนตรีจีน เติ้ง เสี่ยวผิง ได้เยือนประเทศไทย และได้เข้าร่วมพระราชพิธีทรงผนวชในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้นำสูงสุดของทั้งสองประเทศให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาสัมพันธ์จีน-ไทย
ปี ๒๕๔๓ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ แทนพระองค์ไปทรงเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ ๒๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทย
ในระหว่างปี ๒๕๓๐ ถึง ๒๕๔๑ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้เสด็จฯ เยือนจีนถึง ๔ ครั้ง
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังได้เสด็จฯ เยือนจีนมาแล้วกว่า ๕๐ ครั้ง ทรงเป็นมิตรที่ใกล้ชิดของจีน
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ถวายเครื่องอิสริยาภรณ์ รัฐมิตรภรณ์ แด่กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้เสด็จเยือนจีนหลายครั้งเพื่อจัดคอนเสิร์ต “สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน” พร้อมทรงบรรเลงกู่เจิงด้วยพระองค์เอง
สายสัมพันธ์ไทย-จีนจึงไม่ธรรมดา
พาย้อนอดีตไปกับ วารสารวิชาการ ไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน : การเมืองที่ผันผวนและความยุ่งยากในช่วงต้น ของความสัมพันธ์ทางการทูต (ค.ศ. 1975-1978) เขียนโดย ศาสตราจารย์ ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล
ปี ๒๕๑๗ ท่าทีของรัฐบาลไทยที่ปรารถนาจะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ในเดือนมกราคม “จรูญพันธ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น กล่าวในรายการโทรทัศน์ว่า
“…อุดมคติทางการเมือง หรือลัทธิที่ประเทศอื่นเขาใช้อยู่ เราจะไม่ถือเป็นข้อกีดกั้นในเรื่องความสัมพันธ์ อย่างเป็นมิตรกัน”
และได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวต่างชาติว่า ไทยจะยึดมั่นในนโยบายจีนเดียว (One-China policy)
ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลปักกิ่งกับรัฐบาลไทเป ถือเป็นเรื่องภายในของจีน
ต่อมาเมื่อพลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ ไปประชุม สมัชชาสหประชาชาติที่นครนิวยอร์กในเดือนกันยายนของปีนั้น คืนวันหนึ่งขณะร่วมงานเลี้ยงที่จัดโดยเฮนรี คิสซินเจอร์ (Henry Kissinger) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เขาขอให้ภรรยาไปเต้นรำกับคิสซินเจอร์เพื่อถ่วงเวลา จนเขาและนายอานันท์ ปันยารชุน สามารถปลอมตัวเป็นบ๋อยเดินออกจากงานเลี้ยง ทางประตูครัว แล้วขึ้นรถไปพบ “เฉียวกว้านหัว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศจีนตามที่นัดหมายไว้ล่วงหน้า
ซึ่งเขาย้ำกับ เฉียวกว้านหัวว่าไทยต้องการมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน
เมื่อถึงต้นปี ๒๕๑๘ ฝ่ายคอมมิวนิสต์มีแนวโน้มจะยึดอำนาจการปกครองในเวียดนามใต้ กัมพูชา และลาวได้สำเร็จ รัฐบาลไทยจึงเห็นความจำเป็นในการสถาปนา ความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนมากยิ่งขึ้นไปอีก
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคมของปีนั้น ทำให้หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล โดยในวันถัดมาเขาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลใหม่ ซึ่งแม้ดูเหมือนหม่อมราชวงศ์เสนีย์จะยังมองจีนในทางลบ แต่ก็เห็นความจำเป็นในการสานสัมพันธ์กับจีน เนื่องจาก “เราเป็นประเทศขนาดเล็ก จะมีนโยบายเป็นศัตรูกับจีนแดงได้หรือ ถ้าคนจีน ๘๐๐ ล้านคนมายืนข้างๆ แล้วฉี่ใส่เรา ประเทศไทยก็จะจมน้ำกันหมด แล้วเราจะเป็นศัตรูกับจีนแดงซึ่งใหญ่กว่าเรามากได้อย่างไร”
ในวันที่ ๓ มีนาคม ค.ศ. ๒๕๑๘ “พิชัย รัตตกุล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศสนับสนุนนโยบายจีนเดียว และจะสานต่อแนวทางที่ “จรูญพันธ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” วางไว้
โดยขอเปิดเผยรายละเอียดเมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว ทว่ารัฐบาลของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ไม่ได้รับความไว้วางใจ จากสภาในการแถลงนโยบายเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ทำให้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมได้จัดตั้งรัฐบาลแทน
คำแถลงนโยบายของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘ ระบุชัดเจนว่าจะเร่งรับรองและสถาปนาความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับจีน
ต่อมาในปลายเดือนนั้น พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายแผน วรรณเมธี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ทำรายงานเสนอ นายกรัฐมนตรีว่าสถานการณ์ในอินโดจีนกระทบต่อความมั่นคงของไทยอย่างยิ่ง
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์จึงเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติรวม ๒ ครั้ง และตัดสินใจเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเร่งด่วนเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง
ดังที่ “เกษม ศิริสัมพันธ์” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลขณะนั้นให้สัมภาษณ์เมื่อปี ๒๕๔๘ ย้อนความทรงจำว่า
“…เขมรแดงยึดประเทศได้ ก่อนหน้านั้นในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ฝ่ายทหารบอกว่ากัมพูชาไม่แตก แต่ทางกระทรวงต่างประเทศได้เตือนแล้วว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก และอาจจะมีคนกัมพูชาเข้ามาประเทศไทยจำนวนมาก กระทรวงต่างประเทศจึงเสนอให้กระทรวงมหาดไทยตั้งค่ายรับผู้ลี้ภัยเพื่อไม่ให้มาปะปนกับคนไทยเหมือนสมัยเดียนเบียนฟู
ทหารยืนยันบอกว่าไม่แตก พอแตก ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็เรียกประชุมอีกทีว่าแตกแล้ว จะทำยังไง เวลานั้นปัญหามันมีอยู่ที่ว่า ทหารเขมรแดงไล่ตีทหารของ (นายพล) ลอน นอลเข้ามาทางพรมแดนไทยมากแล้ว และอาจจะตามตีอีก
อาจารย์คึกฤทธิ์ก็สั่งปิดชายแดนเพื่อป้องกันทหารลอน นอลตีเข้ามา แล้วท่านก็บ่นบอกว่าทหารเขมรแดงจะตีเข้ามาได้หรือไม่ ท่านถามทางฝ่ายทหารว่ามีกำลังต่อต้าน ได้สักกี่วัน ผมจำได้ว่าคุณเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เวลานั้นเป็นเสนาธิการทหารเป็นคนตอบว่า ๓ วัน
อาจารย์คึกฤทธิ์หันไปมองกับคุณชาติชาย ซึ่งเวลานั้นเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ท่านบอก ‘ชาติชาย! ๓ วันนี่มัน ยิงปืนเรียกพวกไม่ทันนะ ไม่เอาแล้ว อย่างนั้นเราต้องหาเพื่อนใหม่ดีกว่า พาผมไปปักกิ่งดีกว่า’
นำไปสู่ภาพการจับมือกันระหว่างหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กับเหมา เจ๋อตง (Mao Zedong) ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๘”
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นสายสัมพันธ์ไทย-จีน มาถึงปัจจุบันก็ ๕๐ ปีแล้ว
นายกฯ อนุทินซึ่งตามเสด็จไปด้วย โพสต์ข้อความว่า
“…ปธน.สี จิ้นผิง กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ในหลวง จีนซื้อข้าวไทยห้าแสนตัน…”
นี่คือมหามิตร.

