เปลว สีเงิน
“กรุงรัตนโกสินทร์” ของ “คนไทยที่ไม่ทิ้งแผ่นดิน”
กำลังเดินสู่ศักราช
“ชาติที่คนทั้งโลกอิจฉา” ในภาวะ “มหาสงคราม” กำลังคืบคลานเข้ามา “จัดระเบียบโลกใหม่”!
อยากบอกให้พวกเราได้อุ่นใจว่า ถ้ารู้จักใช้ความสังเกตจับความเคลื่อนไหวในองคาพยพประเทศ จะเห็นว่า
“กองทัพ” ทั้ง บก-เรือ-อากาศ “แกนในของชาติ” มีการดิสรัปต์ทั้งคน ทั้งระบบ และทั้งความคิดเก่า สู่นวัตกรรมเทคโนโลยีไอทีด้วยทัศคติตอบรับ “โลกวิบัติ” เพื่อ “วิวัฒน์ใหม่”
ขณะเดียวกัน ในนิยาม “กองทัพเดินด้วยท้อง”
กองทัพ-รัฐบาลไม่ต้อง
พี่น้องประชาชนคนไทยทำเอง ก็สามัคคีรวมใจโดยไม่มีใครนัดหมาย ผนึกกันเป็น “หน่วยส่งกำลังบำรุง”
ทหารอยู่ตรงไหน อีสานใต้หรือตะวันออกที่ “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” หน่วยส่งกำลังบำรุงพุ่งตรงไปถึงที่นั่น
เรียกว่าทหารในแนวหน้าลูกหลานของเรา ได้ทั้งกำลังใจ ได้เครื่องยังชีพในป่า-ในเขา พอสบายในความลำบาก
แล้วดูซี….
“สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี” ทรงตั้ง “มูลนิธิหทัยทิพย์” เพื่อความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชน เมื่อ ๓-๔ วันที่แล้ว
เมื่อวาน มีข่าวว่า…
“น้ำใจคนไทยหลั่งไหล “กองทุนหทัยทิพย์’ ยอดบริจาคพุ่ง ๑๐๐ ล้าน ร่วมสร้างกำแพงป้องกันอธิปไตย”
นี่คือ “จิตเดิมแท้” ของคนไทย ไม่รู้หรอกว่า กาลข้างหน้าจะเกิดอะไร แต่เหมือนสัญชาตญานหยั่งรู้ ว่าเวลาไหน ที่ต้องรวมใจกันทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมือง
ท่านโอนเงินสมทบกันหรือยัง ผมสแกน QR Code แบงก์กรุงเทพ เรียบร้อยแล้ว
ท่านใดต้องการสมทบเข้ามูลนิธิหทัยทิพย์ โอนเข้าบัญชี “ธนาคารกรุงเทพ” หลักสี่พลาซ่า
ชื่อบัญชี “เงินกองทุนหทัยทิพย์” เลขที่ ๒๒๙-๔-๒๙๙๗๗-๗ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ “สำนักงานกองทุนหทัยทิพย์” โทรศัพท์ ๐-๒๕๕๓-๘๖๑๘-๑๙ ในวันและเวลาราชการ
การที่ “กองทัพกับประชาชน” กลายเป็น “เนื้อเดียวกัน” ทั้งที่ ก่อนหน้า ประชาชนจะแยกเขี้ยวใส่ทหาร
นี่ก็คือสัญญาน สมัครสมานเพื่อการรับภัยที่อาจจะมีมา โดยที่ทุกคนก็ไม่รู้ว่า “อะไรดลใจ” ให้ทหารกับชาวบ้าน “ถึงไหน-ถึงกัน” ได้ป่านนี้!?
ไปดูทางการเมือง ก็เป็นเรื่องประหลาด ก่อนหน้าต่างสงสัยการปฎิวัติ-รัฐประหารที่เรียกร้องกัน โดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญและไม่ล้มสภา มันจะมาในรูปแบบไหน?
ปรากฏว่า มาในรูปแบบ “รัฐบาล ๑๔๖ เสียง” ในขณะที่ฝ่ายค้านมีมากกว่า ๓๐๐ เสียง!!!
และก็น่าพิศวง ปกติในสภามี “ฝ่ายรัฐบาล” กับ “ฝ่ายค้าน” คอยตรวจสอบ-ถ่วงดุล ซึ่งกันและกัน
แต่ครั้งนี้ กลับเป็นรัฐสภา ๓ ฝ่าย คือนอกจากฝ่ายรัฐบาลเสียงข้างน้อยกับฝ่ายค้านเสียงข้างมากโดยพรรคประชาชนแล้ว
ยังมี “พรรคเพื่อไทย” สายสะดือเดียวกับ “อังเคิลฮุน”
ไม่ขอร่วมฝ่ายค้าน แต่จะเป็น “ฝ่ายแค้น” ในสภา!?
“นายกฯ อนุทิน” เลยเป็น “ตาอยู่” ในขณะที่ พรรคประชาชนกับพรรคพื่อไทย เป็น “ตาอิน-ตานา”
รัฐบาลเสียงข้างน้อย ๔ เดือน กลับได้รับแรงศรัทธา-เชื่อถือและเป็นที่หวังของประชาชน มากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา
แถวของ “ขวัญใจประชาชน” ยามบ้านเมืองสับสน ขณะนี้ ยาวขึ้นเรื่อยๆ
จาก “พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี” ต่อแถวด้วย “พลโทบุญสิน พาดกลาง”
วานซืน “นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รัฐมนตรีต่างประเทศที่เอาความจริงไปตบหน้าเขมรด้วยกำปั้นหุ้มกำมะหยี่ บนเวที UN
ก็ต่อแถว “ขวัญใจประชาชน” เป็นคนที่ ๓
และตอนนี้ “นางศุภจี สุธรรมพันธุ์” รัฐมนตรีพาณิชย์ กุลสตรีผู้เพียบพร้อมทั้งกริยาทั้งวิสัยทัศน์และทั้งประสบการณ์
เธอเป็นคนมีของในตัว….
แค่ตอบคำอภิปรายของสส.ในรัฐสภาออร่าคุณศุภจีก็เจิดจ้าเป็น “ขวัญใจประชาชน” คนที่ ๔ ทันที ชนิดที่ฝ่ายค้านยังต้องชม
โพสต์ชื่นชมกันขรม ยกมาเป็นตัวอย่างซัก ๒-๓ โพสต์
……………………….
กูนึกแล้ว
คนมีความสามารถจริง รู้จริง เก่งจริง ก็จะสมูทแบบนี้ ไม่ใช่มาอ่านไอแพดเอาหน้างาน มีสคริปต์ก็ดูสคริปต์เฉพาะหัวข้อที่จะพูด แล้วก็แตกรายละเอียดย่อยๆเอา เค้าเรียกว่ามืออาชีพ
…………………………………
ร่มแดนช้าง Tusker Shelter
ถ้าจะมีความหวังกับบุคคลระดับผู้นำประเทศสักคน ถ้าจะศรัทธาในความสามารถและทัศนคติใครสักคนเพื่อประเทศชาติ
“ศุภจี สุธรรมพันธุ์” รมว. กระทรวงพานิชย์
ฟังการตอบอภิปราย ที่เปลี่ยนฝั่งตรงข้ามมาเป็นฝั่งเคียงข้างในเสี้ยวนาที
ท่านทราบด้วยว่าประเทศไทยเรา ไม่ได้มีแค่ประชากร 70 ล้านคนถ้วน แต่คือ 70 ล้านบวก 3,800 เชือก ที่ยังมีความหวังกับการการนำของทีมบริหารนี้
…………………………………..
Veerapun Suvannamai อยู่ที่ สัปปายะสภาสถาน รัฐสภา · มาตรฐานใหม่ของรัฐมนตรี
ได้คุยกับพี่แต๋ม ศุภจี พี่สาวที่น่ารักไม่กี่ประโยค รู้สึกได้เลยว่าประเทศไทยมีความหวัง
พี่ตั้งใจจริง รับรู้ถึงปัญหา และเตรียมหนทางแก้ไข ขอให้พี่ทำได้สำเร็จนะครับ
…………………………………..
อีกเยอะแยะ อ่านกันตาแฉะ ลองฟังเหตุผลที่เธอตัดสินใจรับตำแหน่ง “รัฐมนตรีพาณิชย์” ซักหน่อยปะไร คุณศุภจีกล่าวเปิดใจเมื่อ ๑๒ กันยา.ตอนหนึ่งว่า
“คนเราคงไม่ต้อรอให้รู้ถึง ๑๐๐% ค่อยลงมือทำหรอก แต่ขอให้ทำ ๑๐๐% ในสิ่งที่เรารู้ แล้วเราหาธงร่วมให้ได้ว่า “ธงร่วมของเราคืออะไร?”
ตอนนี้ ก็เป็นอีกช่วงจังหวะหนึ่ง มีความบังเอิญที่ท่านนายกฯ ทาบทามให้มาอยู่ในทีมเศรษฐกิจ คือมาดูแลในกระทรวงพาณิชย์
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมาทำ….
โดยปกติ “เสาร์-อาทิตย์” ก็อยู่ในวัดนะคะ เพราะฉะนั้น ไม่เคยคิดจะมาในสายนี้เลย แต่ที่ตัดสินใจเนี่ย มีอยู่ ๒ เหตุผล
เหตุผลแรก ก็คิดว่าในวันนี้ ประเทศของเรากำลังเจอความท้าทายหลากหลายมากมาย มันจะต้องมีคนเข้ามาช่วยในเรื่องที่เป็นเรื่องของปากท้อง เป็นเรื่องการดูแลเศรษฐกิจในภาพรวม
เราก็คิดว่า เรามีโอกาสได้ทำงานมาหลากหลาย สมัยอยู่ IBM แต๋มทำงานในช่วงสุดท้ายของ ๗ ปีใน IBM อยู่นอกประเทศ
และหลังจากเป็นกรรมการผู้จัดการที่ประเทศไทยแล้ว ก็ออกไปอยู่ที่ รีเจียน เฮดควอเตอร์ ที่นิวยอร์ก
ก็เห็นถึงภาพในระดับมหภาคในการตัดสินใจในการวางนโยบายในการทำงานและการติดต่อองค์กรข้ามชาติมากมาย
พอมาอยู่ไทยคม ก็ทำธุรกิจอินเตอร์เนชั่นแนลเหมือนกัน เพราะดาวเทียมต้องทำกับหลายๆ ประเทศ
เราก็คิดว่า ประสบการณ์นี้ น่าจะมีโอกาสมาช่วยผลักดันในด้านการต่างประเทศที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของเราเดินไปข้างหน้าได้
เพราะว่าถ้าเราสนใจเฉพาะแต่เรื่องลดค่าใช้จ่ายอย่างเดียวคงไม่พอ ซึ่งรัฐบาลสนใจอยู่แล้ว ท่านนายกฯ ก็พูดออกไปบ้างแล้วเรื่องคนละครึ่ง
แต่ว่าแค่นั้นไม่พอ ต้องสร้างรายได้ด้วย เพราะมันจะไปพยุงในเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเดียวตลอดเวลาคงไม่ได้
หน้าที่เรา ก็คิดว่า ถ้าอย่างนั้น เรามาช่วยในด้านเปิดตลาดต่างประเทศด้วยจะดีมั้ย
แล้วก็มาดูการค้าในประเทศด้วยว่า เราจะหาศักยภาพตรงไหน เพราะว่าตอนที่ทำอยู่ ไม่ว่าที่ บริษัทไทยคม IBM ดุสิตธานี ก็ตาม
เราก็ต้องดูแลศักยภาพของบริษัทที่มีอยู่ว่า เราจะแข่งขันกับคนอื่นได้อย่างไร?
แน่นอนค่ะ ในขนาดของสิ่งที่เราดูแลอยู่เนี่ย ไม่ได้ใหญ่เท่ากับภาระรับผิดชอบของประเทศ
บางคนอาจบอกว่า ไม่เคยมีหน้าที่รับผิดชอบต่อประเทศเลย อยู่แต่ในเอกชนจะเข้าใจหรือ?
ก็ต้องยอมรับว่า ไม่เข้าใจ แต่ว่าเรามองจากภาคเอกชนไป นอกจากตัวเองอยู่ที่ดุสิตแล้ว ก็ยังเป็นกรรมการธนาคาร
กรรมการธนาคารเนี่ย ก็เป็นคนที่ดูแลในเรื่องของเศรษฐกิจระดับมหภาค ทั้งในเรื่องของในประเทศและต่างประเทศด้วย
และก็เป็นกรรมการของบริษัทที่ดูแลในการผลิต ซึ่งหลายท่านคงทราบดีถึงประวัติและการลงทุนอยู่มากในต่างประเทศและก็ลงทุนภายในประเทศอยู่ด้วย
ดังนั้น ก็เลยคิดว่า เราน่าจะเอาทั้งสองส่วนนี้มาผสมกัน ทั้งเรื่องความสามารถในการติดต่อในต่างประเทศ รวมถึงการดูแลภายในประเทศ ดูแลแบรนด์ของเรา
ปัจจุบันนี้ แบรนด์ของคนไทย ทั้งในส่วนความงดงามของเอกลักษณ์ ของการให้การบริการแบบไทยๆ อัตลักษณ์ไทยของดุสิตก็ทำมา
ในอนาคตก็ต้องขยายไปดูแลอย่างอื่น เช่น ผลิตภัณฑ์ในบางอย่างของเรา ที่สามารถเอาไปต่อยอดให้ชาวต่างประเทศมองเห็นศักยภาพได้
ก็คิดว่าน่าจะดี อันนั้นคือ เป็นการตัดสินใจข้อแรก ก็คือคิดว่าประเทศไม่สามารถที่จะอยู่อย่างสุญญากาศได้
ถ้าเราคิดว่า เราสามารถเอาความรู้ที่เรามีอย่างเต็มที่มาช่วยได้ ก็อาจจะทำให้เกิดประโยชน์ได้บ้าง
อย่างที่สอง ที่ตัดสินใจ เพราะว่า มันสั้น ก็ทราบอยู่แล้วว่าเรามีอายุน้อย อายุสั้น เรามีเวลากันแค่ ๔ เดือนในการทำหน้าที่อย่างเต็มที่
ดังนั้น หยิบจับอะไรที่เป็นผลกระทบอย่างสำคัญ ต้องหยิบจับประเด็นนั้นมาทำก่อน เพื่อให้เห็นผลสมฤทธิ์โดยเร็ว
แต่ก็จะสร้างรากฐานเผื่อไว้คนต่อๆ ไปได้ทำต่อ ก็คล้ายกับที่ทำที่ดุสิต แต่ไม่ใช่เวลา ๙ ปีนะฮะ
มีเวลาแค่ ๔ เดือน ในการทำ แล้วก็จะมีการเลือกตั้ง แล้วก็จะมีรัฐบาลใหม่ ก็อาจจะมีเวลาซัก ๗-๘ เดือน แล้วก็ไป
เพราะฉะนั้น ตัดสินใจง่ายมากเลย จะได้เข้าวัดเหมือนเดิม ก็คือมันสั้น ก็เป็นเหตุผลอีกเหตุผลหนึ่ง
การที่เราเป็นคนที่ชอบทำงานกับคน หาพันธมิตรที่จะร่วมทำในสิ่งที่จะเดินไปข้างหน้าไปได้ไกลและไปได้เร็ว ก็มีความตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้ว
ก็เรียกว่าความตั้งใจส่วนตัวและก็จะพูดกับหลายๆ คนอยู่เสมอ ถ้าน้องๆ ที่คุ้นเคยกับพี่แต๋มดี จะได้ยินพี่แต๋มพูดอย่างนี้เสมอว่า
“คนเราไม่ต้องรอให้รู้ ๑๐๐% ถึงลงมือทำแต่ขอให้ทำ ๑๐๐% ในสิ่งที่เรารู้ แล้วหาธงร่วมให้ได้ว่า ธงร่วมของเราคืออะไร ?
ซึ่งตอนอยู่ดุสิต ธงร่วมของเราคือ“ทำยังไงให้ดุสิตเติบโตอย่างสวยงามและเดินไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง”
ตอนนี้ “ธงใหม่” เพื่อพวกเราที่นั่งอยู่ในห้องนี้ด้วยว่า
“ทำยังไงให้ประเทศของเราแข็งแรง”และ “สามารถกลับมายืนขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น”
………………………………
“รัฐบาลอนุทิน” เพิ่งเข้าปฎิบัติหน้าที่ได้วันนี้ แต่ปรากฏว่ารัฐมนตรีในทีม ๒ ท่าน ขึ้นแท่น “รัฐมนตรีขวัญใจประชาชน” ไปแล้ว
นี่คือการ “ลอกคราบ” ประเทศไทย จากมิติเดิมสู่ “มิติใหม่”
และจะมีสิ่งให้ “ตื่นเต้น-เร้าใจ” ใน “เส้นทางสายเปลี่ยน” อีกเป็นระยะ อย่าหลับเพลินซะล่ะ!
เปลว สีเงิน
๑ ตุลาคม ๒๕๖๘
