“อนุทิน” นำทีมรัฐมนตรี “สุรศักดิ์-ภราดร-ทรงศักดิ์-ศักดิ์ดา-ศศิธร” พร้อมผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย สาธารณสุข สทนช. ลงพื้นที่ติดตามผลกระทบและให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

27 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือและให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอบางบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ วัดโคกหิรัญต.บางชะนี อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายทรงศักดิ์ ทองศรี นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ รองหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ นางรณิดา เหลืองฐิติสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี อธิบดีกรมที่ดิน นายเชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง และ ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นางสมทรง พันธุ์เจริญวรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยอธิบดี และหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และภาคีเครือข่าย ร่วมลงพื้นที่
เมื่อนายอนุทินเดินทางถึงได้เดินให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจากทุกภาคส่วน แล้วรับฟังการกล่าวบรรยายสรุปภาพรวมสถานการณ์จากผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจึงกล่าวพบปะให้กำลังใจพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งนำคณะรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการมอบถุงยังชีพและเดินทักทายพูดคุยให้กำลังใจพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาบริเวณวัดโคกหิรัญ
จากนั้น นายอนุทินและคณะ ได้เดินทางไปพบปะพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการร้านขายของชำที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงวัด และเดินลุยน้ำไปมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนบ้านเรือนใกล้เคียง และได้พายเรือไปมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนครัวเรือนที่บ้านประสบอุทกภัยและใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเรือนตามปกติ โดยนายอนุทิน พายเรือด้วยตนเอง รวมถึงคณะรัฐมนตรี อาทิ นายสุรศักดิ์ นายศักดิ์ดา และนายอรรษิษฐ์ (ปลัด มท.) ก็พายเรือด้วยตนเองด้วยเช่นกัน
นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งมั่นทำงานโดยมีเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีทุกคนมีเหมือนกัน คือ “ประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน” ทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความเดือดร้อนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เราทราบดีอยู่แล้วว่ามีน้ำท่วมทุกปี เรียกว่า “น้ำท่วมซ้ำซาก” เนื่องจากพื้นที่เป็นพื้นที่รับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน และมีลักษณะเป็นพื้นที่ต่ำ ทำให้ระบบการระบายน้ำลงสู่ท้องทะเลได้ยาก นอกจากนี้ แม่น้ำเจ้าพระยามีลักษณะเป็นคอขวด ทำให้การระบายน้ำช้าลง ส่งผลให้มีการเอ่อล้นของน้ำ หรือน้ำล้นตลิ่งเขาท่วมพื้นที่พี่น้องประชาชนโดยตลอด
“เราพยายามสู้กับธรรมชาติด้วยการคิดโครงการ/แผนการบรรเทาการเกิดอุทกภัยให้กับพ่อแม่พี่น้องให้มากที่สุด โดยมี สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นผู้กำหนดนโยบายต่าง ๆ ในการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำเสนอต่อรัฐบาล ขณะเดียวกัน เมื่อเกิดสถานการณ์อุทกภัย กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีหน้าที่ดูแลครอบคลุมทั้งอาหารการกิน การบรรเทาสาธารณภัย งบประมาณเยียวยาความเสียหายของพี่น้องประชาชน รวมถึงกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นซึ่งกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งเทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลที่มีเครื่องมือ คือ “งบประมาณการช่วยเหลือประชาชน” ที่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถเบิกจ่ายได้ในรูปแบบของงบฉุกเฉินบรรเทาความทุกข์ของประชาชน และยืนยันว่างบประมาณจะต้องกลับไปถึงพี่น้องประชาชน 100% โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการให้คำแนะนำเพื่อให้ผู้บริหาร อปท. กล้าที่จะตัดสินใจอนุมัติใช้งบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชน และในส่วนของฝ่ายข้าราชการ ตั้งแต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจนถึงระดับส่วนกลาง ก็ต้องพิจารณาโดยเร็ว ทำงานอย่างรวดเร็ว ทันใจ ไม่เสียเวลา ในการเลื่อนสำรวจและเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ประสบสาธารณภัยในแต่ละครัวเรือน”
นอกจากนี้ รัฐบาลได้เร่งรัดโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำ บางบาล-บางไทร ให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 เพื่อเร่งระบายน้ำด้วยศักยภาพการระบายน้ำมากถึง 1,200 คิวต่อวินาที ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จก็จะตัดมวลน้ำไม่ให้ท่วมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มากขึ้น ลดความกังวล และที่สำคัญเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว เพราะพี่น้องประชาชนไม่ได้ต้องการถุงยังชีพ เพราะถุงยังชีพเป็นการช่วยเหลือระยะสั้น และมันบ่งบอกว่ากำลังมีภัย
นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุงระบบชลประทานฝั่งตะวันออกตอนล่าง เพื่อทำให้การระบายน้ำตั้งแต่ชัยนาท ป่าสัก ไหลลงสู่อ่าวไทย ซึ่งการแก้ปัญหาระยะยาวต้องใช้งบประมาณ 100,000 ล้านบาท เพื่อที่จะสร้างระบบสาธารณูปโภคช่วยระบายน้ำด้วยระยะเวลา 7 ปี ซึ่งหากคิดเทียบกับเงินเยียวยาที่ประชาชนได้รับเพียงครัวเรือนละไม่กี่พันบาท ตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า รวมถึงโครงการการขุดลอกแม่น้ำลำน้ำเจ้าพระยาและลำน้ำท่าจีน ที่จะเป็นการขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำไม่ให้ไปอุดหรือไปทำให้การระบายน้ำต้องพบกับอุปสรรค โดยรัฐบาลนี้จะเร่งแก้ไขปัญหาและดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อทำให้ประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2568 จ.พระนครศรีอยุธยาประสบอุทกภัยแล้ว จำนวน 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม – 8 มิถุนายน 2568 รวม 13 วัน มีบ้านเรือนได้รับผลกระทบ รวม 4 อำเภอ 38 ตำบล 151 หมู่บ้าน 3,674 ครัวเรือน ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม – 9 สิงหาคม 2568 รวม 20 วัน มีบ้านเรือนได้รับผลกระทบ รวม 4 อำเภอ 18 ตำบล 63 หมู่บ้าน 1,659 ครัวเรือน และครั้งที่ 3 มีสถานการณ์อุทกภัย ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม – ปัจจุบัน วันที่ 27 กันยายน 2568 รวม 38 วัน มีบ้านเรือนได้รับผลกระทบ รวม 10 อำเภอ 123 ตำบล 733 หมู่บ้าน 37,419 ครัวเรือน มีโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งสาธารณประโยชน์ และสถานที่ราชการ ได้รับผลกระทบ ดังนี้ วัด/มัสยิด 26 แห่ง โรงเรียน 20 แห่ง (ยังไม่ปิดการเรียนการสอน) ซึ่งกำหนดเปิดการเรียนการสอน วันที่ 11 ตุลาคม 2568 หากโรงเรียนไหนไม่สามารถดำเนินการเรียนได้จะพิจารณาปิดการเรียน และจะดำเนินการสอนชดเชยในภายหลัง ถนนในหมู่บ้าน 34 สาย สถานที่ราชการต่างๆ 8 แห่ง (รพ.สต.ที่ทำการ อบต./เทศบาล) ขณะนี้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มีการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย และเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยแล้ว จำนวน 5 ครั้ง มากกว่า 25 ฉบับ ซึ่งทางจังหวัดได้บริหารจัดการสถานการณ์และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในทุกมิติร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน
“สำหรับความต้องการของประชาชนในการแก้ปัญหาน้ำท่วม ประกอบด้วย 1. การพัฒนาระบบการแจ้งเตือนให้มีความทันสมัย รวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น 2. การพิจารณาชดเชยในการใช้ที่ดินของประชาชน เป็นพื้นที่รองรับน้ำ ชะลอหน่วงน้ำเพื่อไม่ให้น้ำไปท่วมพื้นที่เศรษฐกิจอื่น จำนวนกว่า 3 แสนไร่ ทำให้ราษฎรเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์ที่ดินในการประกอบอาชีพ เพราะเหตุมีการระบายน้ำเข้าไปท่วมขัง 3. การพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนกรณีได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เนื่องจากทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพ ไม่สามารถเดินทางหรือใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ซึ่งทำให้ขาดรายได้และมีค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ เพิ่มมากขึ้น 4. การพิจารณาเพิ่มเงินค่าชดเชยเยียวยา กรณีผู้ประสบเหตุภัยพิบัติให้เหมาะสมกับสภาพความเสียหาย ตลอดจนการกำหนดกรอบระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้มีความรวดเร็วทันสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประกอบการดำเนินงาน เช่น การนำภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจ่ายเงินชดเชยเยียวยา เพื่อลดขั้นตอนการสำรวจข้อมูล เพื่อให้การดำเนินงานมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และลดภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และ 5. ประเด็นที่สำคัญ ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างถาวร เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอุทกภัยซ้ำซากในพื้นที่อีก ทั้งนี้ ควรที่จะได้มีการพิจารณาทบทวนแผนบรรเทาอุทกภัยเจ้าพระยาตอนล่างทั้ง 9 โครงการของกรมชลประทานหากสามารถแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ได้จริง ก็ขอให้ได้เร่งรัดผลักดันการดำเนินโครงการตามแผนงานดังกล่าว ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว”
Written By
More from pp
สิงห์ เอสเตท จับมือ ซัมซุง ส่งแคมเปญ ‘S Life’ เอกสิทธิ์พิเศษเพื่อลูกบ้าน เติมเต็มทุกความสุขมอบสิทธิพิเศษ 3 ต่อ พร้อมรับส่วนลดรวมสูงสุด 50%*
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (SET: S) ผู้นำด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชูรี ตอกย้ำความสำเร็จตลอด 10 ปี เดินหน้ามอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านผ่านภายใต้แคมเปญ...
Read More
0 replies on ““อนุทิน” นำทีมรัฐมนตรี “สุรศักดิ์-ภราดร-ทรงศักดิ์-ศักดิ์ดา-ศศิธร” พร้อมผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย สาธารณสุข สทนช. ลงพื้นที่ติดตามผลกระทบและให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา”