เปลว สีเงิน
ผมเชื่อแล้วหละว่า “ตัวกาลกิณี” เมืองมีจริง!
ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในสภาพนั้น
ท่ามกลางวิกฤติ “เศรษฐกิจ-การค้า-สังคม-สงคราม” แผ่ซ่านไปทุกมุมโลก
เป็นช่วงเวลาที่แต่ละรัฐบาลต้องแสดงศักยภาพผู้นำบริหารพาประเทศไปให้รอด
แต่บ้านเมืองไทย โชคร้าย
ได้นางสาวแพทองธารเป็นผู้นำรัฐบาล นอกจากรวยมาแต่เกิด พ่อชื่อทักษิณแล้ว
นอกนั้น เธอไม่มีอะไรเลยที่เรียกว่า “คุณสมบัติผู้นำ”!
จึงน่าสงสารบ้านเมืองไทยและคนไทย ในภาวะวิกฤตรอบด้าน รัฐบาลและนายกฯมีไว้ “รกประเทศ” โดยแท้
แก้ไขปัญหาใดๆ ให้บ้านเมืองไม่ได้เลย!
ยิ่งตอนนี้ ตัวนายกฯ ถูก “พักงาน” ด้วยมลทินไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
คนที่มารักษาการนายกฯ เหมือนเวรกรรมซ้ำประเทศ วันแรกเป็น “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”
อีกวันต่อมา เปลี่ยนเป็น “นายภูมิธรรม เวชยชัย”
ทั้ง ๓ คน ตั้งแต่ แพทองธาร สุริยะ ภูมิธรรม มันต่างกันตรงไหนด้านวิสัยทัศน์นำประเทศ
ผมมองไม่เห็น!
ประเทศตอนนี้ สามารถพูดได้ว่า ทุกปัญหา รัฐบาลล้มเหลวในการแก้ไข ไม่ว่าด้านสังคม ด้านศึกษา ด้านเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้าน
“การท่องเที่ยว” ที่เป็นน้ำบ่อเดียวเลี้ยงประเทศ กำลังแห้งเหือด รัฐบาลก็หายหัว ไม่พูดถึง
ทุกวันนี้ เศรษฐกิจฝืดเคือง มีแต่คนขาย คนซื้อก็มี แต่เขาไม่มีเงินจะซื้อ เงินในระบบถูกกลุ่มทุนดูดกลับไปหมด
การลงทุนใหม่แทบไม่มี สถาบันการเงินก็ไม่ปล่อยกู้ สภาพคล่องจึงแห้งเหือด
รัฐบาลอิ่มหมีพีมันกับเงินงบประมาณจากภาษีประชาชน จึงไม่รู้ร้อน-รู้หนาว ปล่อย “ช่างมัน” ไม่พูดถึงมาตรการที่โม้ไว้ตอนหาเสียงซักแอะ
แล้วนี่ “กำแพงภาษีทรัมป์” จะเริ่มบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ หลังระงับการบังคับใช้ชั่วคราว ๙๐ วัน นับตั้งแต่การประกาศอัตราใหม่ออกมา จะถึงเส้นตาย ๙ กรกฏา.นี่แล้ว
แต่ที่ “นายพิชัย ชุณหวิชร” เป็นหัวหน้าทีมไปเจรจากับสหรัฐฯ น่าจะเดินทางกลับถึงไทยแล้ว
แต่ระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องบินที่เกาหลีใต้ นายพิชัยโพสต์ X เมื่อ ๔ กรกฎา.ว่า………
“การเจรจาวันนี้ สรุปแล้วผมคิดว่าเป็นไปด้วยดี ทางสหรัฐฯ เองก็กล่าวขอบคุณที่ไทยมีความกระตือรือร้นในการที่เข้าร่วมเจรจาในครั้งนี้
ซึ่งเราก็บอกว่าเราจะรับ feedback กลับไปจัดทำข้อเสนอใหม่เพิ่มเติมนะครับ เพื่อประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
จุดยืนของคณะทำงานฝ่ายไทย คือการได้ข้อตกลงที่ “ปฏิบัติได้ ยั่งยืน แล้วก็เป็นข้อตกลงที่เราได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือที่เราพูดว่า win-win solution”
“win-win solution” ในที่นี้ แปลเป็นไทยว่า “โบ๋เบ๋”!
แล้วนี่ วันที่ ๗ ก.ค.เหลืออีก ๒ วันจะถึงเส้นตาย ทรัมป์บอกว่า เหลือจากที่ตกลงไปแล้วอีกร้อยกว่าประเทศ
จะส่งจดหมาย โดยแจ้งกำหนดอัตราภาษีศุลกากรไปเลย เช่น ๑๐% – ๓๐%
แล้วอย่างนี้ “การกลับมาจัดทำข้อเสนอใหม่เพิ่มเติม” ของนายพิชัย แปลว่าอะไร?
แปลว่า เรายังมีโอกาสได้นำข้อเสนอใหม่กลับไปเจรจากับสหรัฐ หรือนอนรอจดหมายที่เขาจะส่งมาบอกว่าเก็บจากสินค้าไทยที่เปอร์เซ็นต์ในวันปะรืน?
ทั้งหมดนี้ ผมไม่โทษ ซ้ำเติมนายพิชัยกับทีมเจรจา ท่านทำหน้าที่ของท่านได้เต็มสมรรถนะคนชื่อพิชัยแล้ว
ต้องโทษ ต้องประณาม คือ….
ทั้งคณะรัฐบาล โดยเฉพาะ “นายกฯ แพทองธาร” ในฐานะผู้นำบริหารประเทศ เป็นได้แค่ตุ๊กตาเสียกบาล พ่อส่งมาเป็นนายกฯ ทั้งที่กะโหลกกลวงโบ๋-ไร้กึ๋น
เวียดนาม “ประธานประเทศ” เขาเดินทางไปพบทรัมป์ เจรจาตกลงกัน โดยเวียดนามจะจ่ายภาษีให้สหรัฐฯ ๒๐%
สำหรับสินค้าทุกชนิดที่ส่งออกเข้าไปยังสหรัฐฯ จากเดิม ที่สหรัฐฯจะเก็บ ๔๖%
และสินค้าถ่ายลำ คือสินค้าประเทศอื่นที่ส่งผ่านเวียดนาม ตกลงเก็บ ๔๐%
ข้อเสนอที่สำคัญที่สุดในดีลนี้ คือ เวียดนามให้สหรัฐฯ ส่งสินค้าเข้าไปในเวียดนามได้ ๐%!
เวียดนามได้ดุลการค้าสหรัฐฯ ปีละกว่าแสนล้านเหรียญ ตกลงเสียภาษีทรัมป์ที่ ๒๐%
เวียดนาม ประธานประเทศ ไปเจรจาเอง สิงคโปร์ นายกฯ ไปเจรจาเอง แต่ไทย ส่งแค่นายพิชัย รัฐมนตรีคลังไปเจรจา
ถามว่า ในการเจรจาต่อรอง ระดับนายพิชัยจะตอบ “ตกลง” ในเงื่อนไขใด-เงื่อนไขหนึ่งในโต๊ะเจรจาได้มั้ย?
คำตอบคือ “ไม่ได้”……
ต้องนำข้อเสนอสหรัฐฯ กลับไปเสนอให้ทางรัฐบาลตัดสินใจ
มันก็จบ คือ “เจ๊ง” เท่านั้น!
งานนี้ มันงานใหญ่กว่างาน “ซอฟต์ พาวเวอร์” ผลาญงบที่รัฐมนตรีวัฒนธรรมแพทองธารจัดพรุ่งนี้เป็นล้านๆ เท่า
แต่รัฐบาลกลับมองไม่เห็นความสำคัญเรื่องภาษีทรัมป์
แทนที่จะระดมทุกฝ่าย ทั้งกระทรวงต่างประเทศ คลัง พาณิชย์ กระทรวงกลาโหม เกษตร กองทัพ สภาความมั่นคง สภาอุตสาหกรรม หอการค้า ผู้ส่งออกรายสำคัญๆ มาหารือ
กำหนดแผนการเจรจากันว่า อะไรยอมได้-ยอมไม่ได้ แค่ไหน และคอยประสานงานสื่อสารกันตลอดเวลาขณะที่ไปเจรจากับเขา พร้อม yes พร้อม no ได้ทันที
แทนที่จะบอกเขาว่า “ขอนำข้อเสนอกลับไปหารือกับรัฐบาลก่อน” ซึ่งแบบนี้ ไม่มีเจ๊า มีแต่เจ๊งมากกับเจ๊งบรรลัย!
แต่ถึงให้นายกฯ ไทย คือนางสาวแพทองธารเป็นหัวหน้าทีมไปเจรจาเองเหมือนประเทศอื่น แค่นึกผมก็ขนลุกแล้ว
เพราะในหัวกะโหลกของผู้นำอื่นเขามี “มันสมอง” ส่วนของเรา….เฮ้อ!
ฉะนั้น ที่นายกฯ ไทย ไม่ไปเองนั้น ก็ดีแล้ว เพราะไม่ต้องอับอายขายขี้หน้าถึงประเทศชาติ ถึงไปก็ไร้ผล
ตามประกาศของทรัมป์ เมื่อเมษา.จะเก็บจากไทย ๓๗% ในขณะที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ๔ หมื่นกว่าล้านเหรียญ
เมื่อเวียดนามเกินดุลมากกว่าไทยเยอะแยะ แต่ตกลงกับสหรัฐฯได้ที่ ๒๐%
เทียบตามสัดส่วน เราได้กำไรจากสหรัฐฯ น้อยกว่าเวียดนาม ที่ทรัมป์ตั้งเป้าจะเก็บจากไทย ๓๗% น่าจะเหลือระหว่างช่วง ๑๒-๑๕%
ที่จะไม่ได้ คือยังไงสหรัฐฯก็ต้องเก็บจากไทยมากกว่า ๒๐% ขึ้นไป มี ๒ เงื่อนไข ตรงที่ว่า เราคงไม่ยอมให้สหรัฐฯ ส่งเนื้อหมูและสินค้าเกษตรบางตัวเข้ามา
และ “ยอมไม่ได้แน่” ที่ไทยจะไม่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ คือให้สินค้าสหรัฐฯ เป็น ๐% เหมือนเวียดนาม!
ทุกวันนี้ ไทยเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ เฉลี่ย ๘% แต่สินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ไทยเก็บเฉลี่ย ๔๒%
ในขณะที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแค่ ๒%!
เมื่อต้องเจอภาษีตอบโต้ มันเป็น “ปัญหาใหญ่” สำหรับไทย ถึงขั้น GDP ติดลบแน่ เพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดสินค้าส่งออกของไทยรายใหญ่
สินค้าอันดับต้นๆ ก็เช่น….
ยานยนต์-ชิ้นส่วนรถยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, ยาง-ผลิตภัณฑ์ยาง เช่นถุงมือยาง
จากภาคเกษตร ก็เช่น ข้าว, อาหารหมาและแมว, ทูน่า-ผลิตภัณฑ์ทูน่า, กุ้ง-ผลิตภัณฑ์กุ้ง, มะพร้าว-ผลิตภัณฑ์มะพร้าว, สับปะรดกระป๋อง, ทุเรียนสด, กล้วยไม้, สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม
เนี่ย….
เป็นอุตสาหกรรมส่งออกหลักของไทยที่ได้กำไรจากสหรัฐฯ ปีละกว่า ๔ หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ถ้าเจอกำแพงภาษี อย่าว่า ๓๗% เลย แค่ ๒๐% เท่าเวียดนาม ก็อ้วกแล้ว
โจทย์ยากอยู่ที่ว่า เวียดนามเขาให้ ๐% กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่เราให้ไม่ได้
ถ้าผมเป็นนายพิชัยที่ไปเจรจา สหรัฐฯ ยื่นเงือนไขตรงนี้ ผมก็ไม่มีอำนาจเซย์เยส, เซย์โน เหมือนกัน!
ตรงนี้ แสดงว่า ตังแต่เมษา.เรื่อยมา รัฐบาลมองไม่เห็นความสำคัญที่จะแก้โจทย์ประเทศ
มุ่งมั่นใช้อำนาจในมือ แก้โจทย์ส่วนตัวและครอบครัว จะทำพนันออนไลน์ จะแปลงประเทศเป็นบ่อนกาสิโน เป็นแหล่งฟอกเงิน แหล่งอาชญากรรมไซเบอร์ แหล่งคอลเซนเตอร์ แหล่งสแกมเมอร์
และแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญตั้งสสร.เขียนใหม่ ให้โจรกลับใส่เสื้อคลุมนักการเมือง คราวนี้ไม่แค่ “โกงบ้าน-กินเมือง”
มันจะ “เปลี่ยนระบบ-ล้มสถาบัน” ตามแผนที่มันคุดอยู่ในใจตลอดมา เพียงรอเวลา “แดงผสมส้ม” เท่านั้น!
ประเทศมาถึงทางตันแล้วหรือ?
เมื่อนายกฯ “ไร้ค่า” นอกจากไม่ยอมลาออก ยังลอยหน้ามาเป็นรัฐมนตรี ชนิดไม่มียางอาย
และเมื่อรัฐบาลตอนนี้ เหมือน “ขี้ทูต-กุฎฐัง” ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ไปทางไหน เข้าตำรา “คนดูชา หมาดูถูก”
แล้วประเทศจะรอดมั้ย?
วันนี้ รัฐบาลนี้กลายเป็น “ภาระของชาติ” หมดศักดิ์ศรีถึงขั้นหมาเขมรยืนยกขาเยี่ยวรด
แต่ยังโชคดี ที่มีกองทัพเข้มแข็ง เป็นแกนหลักของชาติ เตะเบาๆ ก็หางจุกตูด วิ่งไปเห่าไกลๆ!
จะไปทางไหน จะเอากันยังไง ในเมื่อรัฐบาลก็พึ่งไม่ได้ สภาผู้แทนก็พึ่งไม่ได้ มีเพียงวุฒิสภาเท่านั้น ที่ยังพอให้ยึดเหนี่ยว ในภาวะปัญหานอก-ปัญหาในรุมเร้า
ก็ฝากให้ช่วยกันคิด….
เพราะ “วิกฤติครั้งใหญ่” ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง มันเกิดแน่
ไม่ใช่ชาตินี้หรือชาติหน้า
แต่ว่า มันไม่กี่เดือน “ข้างหน้านี้แหละ” ได้เห็นกัน!
เปลว สีเงิน
๗ กรกฎาคม ๒๕๖๘
