จาก ‘ทรัมป์’ ถึง ‘ทักษิณ’ #ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

จนได้….

ลอบยิง “โดนัลด์ ทรัมป์” สะเทือนมาถึงนักโทษชายที่เมืองไทยได้อย่างไรกัน

การลอบสังหารผู้นำเกิดขึ้นทั่วโลก จริงบ้าง สร้างสถานการณ์บ้าง

โกหกดื้อๆ เลยก็มี

วานนี้ (๑๕ กรกฎาคม) “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บอกกับนักข่าวว่า เป็นห่วงความปลอดภัยของคุณพ่อ

“…ก่อนหน้านี้คุณพ่อก็เคยถูกลอบยิงหลายครั้ง เพราะฉะนั้นเราระวังเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่คุณพ่อพูดอยู่เสมอว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ คนไทยคงไม่ได้มีความโหดร้ายถึงเพียงนั้น แต่เราก็ต้องดูแลกันไปตามมาตรการ…”

ครับ..ดีแล้ว ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าตามแก้

แต่…วันนี้ “นักโทษชายทักษิณ” มีความสำคัญอะไร

ไม่ได้เป็นผู้นำประเทศ

ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง

ไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น

เป็นแค่ นักโทษชายที่อยู่ระหว่างการพักโทษไม่ใช่หรือ

ไหนบอกว่าเป็นแค่คนแก่อยู่บ้านเลี้ยงหลาน

แล้วจะกลัวอะไรกับการลอบสังหาร

เอาให้ชัดนะครับ ไม่ใช่พอ “นักโทษชายทักษิณ” ถูกวิจารณ์ว่าเป็นผู้มีบารมีเหนือรัฐบาล เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ก็บอกว่า ไม่ใช่ แค่เลี้ยงหลาน

แต่พอมีเรื่องลอบสังหาร “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็อัปราคา “นักโทษชายทักษิณ” ขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญ ที่มีความเสี่ยง มีความกังวล เรื่องความปลอดภัย ซะงั้น

ก็ไม่ใช่ครั้งแรกครับที่บรรดาลูกๆ ของ “นักโทษชายทักษิณ” ออกมาพูดเรื่องความปลอดภัยของผู้เป็นพ่อ

เดือนพฤศจิกายน ปี ๒๕๕๕ “โอ๊ค” พานทองแท้ เปิดประเด็นสร้างความฮือฮา ว่ามีแผนลอบสังหาร “พ่อแม้ว” ที่จะเดินทางไปเยือนเมียนมาระหว่างวันที่ ๘-๑๐ พฤศจิกายน

อ้างว่าเจ้าหน้าที่เมียนมาตรวจค้นบ้านชายชาวไทใหญ่ใกล้โรงแรมที่ “นักโทษชายทักษิณ” จะเข้าพัก

และยังพบอาวุธสงคราม อาทิ จรวดอาร์พีจี และเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง

ช่วงนั้นสภาผู้แทนฯ ของไทยกำลังลับมีด เตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เสียด้วยสิครับ

กลายเป็น “โอ๊ค” ถูกวิจารณ์ยับ เปิดโรงน้ำแข็ง ปั้นข่าวลอบสังหารมากลบข่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ข่าวลอบสังหารทักษิณ รวมๆ แล้วมีประมาณ ๔ ครั้ง

ครั้งแรกคือ เกิดเหตุระเบิดเครื่องบินการบินไทย ยี่ห้อ โบอิ้ง 737-400 ทะเบียน HS-TDC กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๔

ทักษิณกับคณะจะเดินทางไปเชียงใหม่

แต่ก่อนเวลาออกเดินทางเพียงเล็กน้อยเครื่องบินถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ มีผู้เสียชีวิต ๑ ราย

วันนั้น ทักษิณให้สัมภาษณ์กับสื่อดังไปทั่วโลกว่า รายงานของเจ้าหน้าที่ค่อนข้างชัดเจนว่า สาเหตุของเครื่องบินระเบิดน่าจะมาจากวัตถุระเบิดที่มีผู้นำมาติดไว้ที่ใต้ท้องเครื่องบิน

บริเวณที่นั่งวีไอพี!

เป็นฝีมือของผู้เสียผลประโยชน์ชาวต่างชาติ คือพวกว้าแดง เนื่องจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้น ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน มี พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ รอง ผบ.ตร.เป็นประธาน

ผลสอบออกมาเป็นตุเป็นตะ เป็นการวางระเบิด แน่นอน คาดว่าเป็น “ซีโฟร์” เนื่องจากตรวจพบสารอาร์ดีเอ็กซ์ที่เป็นส่วนประกอบของซีโฟร์กระจายอยู่

การจุดระเบิด น่าจะเป็นการใช้นาฬิกาประกอบกันเป็นระเบิดแบบแสวงเครื่องในการจุดชนวน แต่ไม่พบซากอุปกรณ์ดังกล่าวในที่เกิดเหตุ

หลังจากนั้นไม่นาน คณะกรรมการความปลอดภัยในการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Transportation Safety Board (NTSB)) ที่ส่งผู้เชี่ยวชาญเดินทางเข้ามาร่วมสอบสวน

มีการแถลงผลการตรวจสอบว่า ได้นำชิ้นส่วนไปทดสอบที่ห้องทดลองของเอฟบีไอแล้ว ไม่พบร่องรอยของวัตถุระเบิด

กรณีนี้คล้ายกับการระเบิดของเครื่องโบอิ้ง 737 ของสายการบินฟิลิปปินส์ เที่ยวบินที่ 143 เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ ซึ่งเกิดจากความบกพร่องของถังน้ำมันเชื้อเพลิง

สาเหตุมาจากอุปกรณ์ทำความเย็นทำงานต่อเนื่องอย่างหนักและได้ปล่อยความร้อนออกมา เป็นเหตุให้ถังเชื้อเพลิงที่อยู่เหนืออุปกรณ์ทำความเย็นเกิดระเบิด

เป็นบทพิสูจน์ว่า “นักโทษชายทักษิณ” พร้อมที่จะโกหกเพื่อสร้างคะแนนอย่างหน้าไม่อาย เพราะไม่สนข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น

เหตุการณ์นี้ใกล้เคียงกับคดีซุกหุ้น

ครั้งถัดมาปี ๒๕๔๖ มีการปล่อยข่าวว่า “กลุ่มว้าแดง” ตั้งค่าหัวทักษิณไว้ที่ ๘๐ ล้านบาท

สาเหตุมาจากความไม่พอใจนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล

ถึงขนาดว่า “ทักษิณ” ต้องนั่งรถหุ้มเกราะ สั่งเพิ่มทีมรักษาความปลอดภัย

เป็นช่วงเวลาที่ “ทักษิณ” กำลังถูกชำแหละ เรื่องการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน โดยเฉพาะชินคอร์ปซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว ทั้งในและนอกสภาฯ

ครั้งที่สร้างความเคลือบแคลงใจมาจนถึงปัจจุบันคือ กรณี “คาร์บ๊อง” เมื่อปี ๒๕๔๙ ก่อนที่ “รัฐบาลทักษิณ” จะถูกรัฐประหาร

๒๔ สิงหาคม มีการจับกุม “ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ” ทหารสังกัด กอ.รมน. ขับรถเก๋งยี่ห้อแดวูภายในบรรทุกระเบิดไปจอดรออยู่บริเวณสี่แยกบางพลัด

พบระเบิดทีเอ็นทีและซีโฟร์ผูกติดกันไว้ในกระโปรงท้าย รัศมีทำลายล้างไม่น้อยกว่า ๑ กิโลเมตร

ใกล้บ้านจันทร์ส่องหล้าในซอยจรัญสนิทวงศ์ ๖๙

กรณีนี้ถูกสรุปทันทีว่าเป็นการใช้คาร์บอมบ์ หวังสังหาร “ทักษิณ”

แต่ไทม์ไลน์เหตุการณ์ดูน่าสงสัย วันนั้น “ทักษิณ” ออกจากบ้านสาย

“พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” รอง ผอ.กอ.รมน. ถูกปลดฟ้าผ่า เพราะ “ทักษิณ” เชื่อว่าเป็นตัวการ

แต่ช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พลเอก พัลลภ มานั่งในตึกชินฯ เป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย และยังเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แบบงงกันทั้งเมือง

อีกครั้งช่วงกลับไทยหลังรัฐประหาร เพื่อมาสู้คดีคอร์รัปชัน มีการปล่อยข่าวว่า มีการวางแผนประทุษร้ายจากบางฝ่าย

อ้างถึง “สไนเปอร์” เตรียมลอบสังหาร

จากนั้น “ทักษิณ” ก็ขออนุญาตศาลเดินทางไปชมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ก่อนหายลับ ๑๗ ปีถึงได้กลับมาอีกครั้ง

ความพยายามลอบสังหาร “ทรัมป์” ดูจะสร้างความตื่นเต้นให้รัฐบาลไทย และพรรคเพื่อไทย เป็นพิเศษ

เป็นห่วง “นักโทษชายทักษิณ”

แทนที่จะโฟกัสไปที่ นายกฯ เศรษฐา

ในอดีต จอมพล ป. ถูกลอบสังหาร ๓ ครั้งซ้อน กระทั่งกำเนิดฉายา “จอมพลกระดูกเหล็ก”

“ป๋าเปรม” ก็เคยเจอของจริง กระสุนต่อสู้รถถัง เอ็ม ๗๒ เฉี่ยวหัวไปไม่ไกล

“นักโทษชายทักษิณ” อยู่บ้านเลี้ยงหลานไม่ใช่หรือครับ แล้วจะไปกลัวอะไร

ใครที่คิดฆ่าคนแก่เลี้ยงหลานอยู่กับบ้าน น่าจะเป็นพวกวิกลจริต

จริงมั้ยครับ

Written By
More from pp
โรคอะมิลอยด์ผิวหนัง…โรคที่ควรรู้
โดย ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์              ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์  ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคผิวหนังอีกชนิดหนึ่ง  โรคนี้ไม่มีชื่อในภาษาไทย จึงเรียกทับศัพท์ว่า “โรคอะมิลอยด์ผิวหนัง” (cutaneous amyloidosis) จริง ๆ แล้วโรคนี้เกิดจากโปรตีนบางชนิด มีการพับตัวผิดปรกติ...
Read More
0 replies on “จาก ‘ทรัมป์’ ถึง ‘ทักษิณ’ #ผักกาดหอม”