นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ชี้แจงในการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2568 ถึงข้อกังวลเรื่องรถยนต์ที่ใช้ระบบไฟฟ้าจะเข้ามาทดแทนถยนต์ระบบสันดาป ที่คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีพนักงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์แบบสันดาปประมาณ 200,000 คน ถูกปลดออก
โดยขณะนี้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้มีการลงนามร่วมงานกับกระทรวงอว. กระทรวงศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน มุ่งเน้นการฝึกอบรมทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้แบบต่อเนื่อง และพัฒนาระบบ “เครดิตแบงก์” เทียบทักษะประสบการณ์เป็นหน่วยกิตเพื่อต่อยอดการศึกษา
นอกจากนี้ยังร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย สนับสนุนโครงการ “หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งช่างไฟฟ้า” รองรับในอนาคตหากมีคนตกงาน และเพื่อสร้างโอกาสประกอบอาชีพอิสระในท้องถิ่น
นายพิพัฒน์ ยังกล่าวข้อกังวลเรื่องกองทุนประกันสังคม คาดการณ์ว่าจะแตะ 5 ล้านล้านบาทในปี 2578 แต่หลังจากนั้นหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร กองทุนจะเหลือศูนย์บาทในปี 2597 เพราะสังคมไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ มีคนเสียชีวิตมากกว่าคนเกิดใหม่ กระทรวงแรงงานเร่งหาแนวทางแก้ไข โดยเชิญทุกพรรคการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน นักบัญชี จัดเสวนาระดมสมองไปแล้วเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
และจะมีกาาระดมสมองอีกครั้งในกลางเดือนตุลาคมนี้ มุ่งหาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุน เพื่อให้กองทุนประกันสังคมอยู่รอดอย่างยั่งยืน เพราะนี่เป็นปัญหาของทุกคน ของทุกพรรคการเมือง
รมว.แรงงาน กล่าวต่อว่า ขอฝากถึงกรรมาธิการิวิสามัญเรื่องงบประมาณ ว่าปีงบประมาณ 2568 กพร. แม้ได้งบฯ เพิ่ม แต่ไม่เพียงพอสำหรับรองรับการดำเนินงานเพื่อการมีงานทำ มีคนจบใหม่เตรียมเข้าสู่การทำงานปีละ 5 แสน ส่วนคนเกษียณปีละ 1.5 แสนคน ยังมีช่องว่าง 3.5 แสนคน จึงเป็นหน้าที่กระทรวงแรงงานในการหาตำแหน่งงานตรงนี้มารองรับทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายส่งแรงงานไทยไปทำงานยังประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อิสราเอล ตะวันออกกลาง และยุโรปบางประเทศ คาดการณ์ว่าปี 2567 นี้ จะส่งแรงงานได้เกิน 100,000 คน และพยายามส่งเสริมให้แรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศส่งเงินกลับประเทศมากขึ้น พร้อมมุ่งแก้ไขปัญหาการจ้างงานแรงงานต่างด้าวในประเทศ เพื่อลดการสูญเสียดุลย์ทางเศรษฐกิจ