ผักกาดหอม
พรุ่งนี้อาจได้รู้ครับ…
ยุบหรือ ไม่ยุบ พรรคก้าวไกล
หรือศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันอื่นหลังจากนี้แทน
แต่ยุบหรือไม่ยุบอาจจะน่าสนใจน้อยกว่าประเด็นที่ว่า ก้าวไกล จะทำอะไรต่อ
อย่างที่ทราบกันครับคำแถลงของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อ้างว่าเป็นข้อต่อสู้คดียุบพรรคในศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน ๙ ข้อ
๑.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจวินิจฉัยพิจารณาคดีนี้
๒.กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
๓.คำวินิจฉัยคดี ๓/๖๗ หรือ คดีวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗ (คดีล้มล้างการปกครอง) ไม่ผูกพันต่อการวินิจฉัยคดีนี้
๔.การกระทำที่ถูกกล่าวหาไม่ล้มล้างไม่อาจเป็นปฏิปักษ์
๕.การกระทำตามคำวินิจฉัยของคดี ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗ ไม่เป็นมติของพรรคไม่ใช่เรื่องนิติบุคคล
๖.โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็นฉุกเฉินฉับพลันและไม่มีทางแก้ไขในระบอบประชาธิปไตย
๗.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค
๘.จำนวนปีในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองต้องได้สัดส่วนกับความผิด
๙.การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับคณะกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา
ทั้ง ๙ ข้อนี้อ่านผ่านๆ เหมือนไม่มีอะไร
แต่นี่ไม่ใช่ข้อต่อสู้ในศาล
ไม่ใช่ชุดข้อมูล
แต่เป็นชุดความเชื่อ
เจตนาคือล้างสมอง!
พรรคก้าวไกลไม่ได้มีเป้าหมายจะให้ทั้ง ๙ ข้อ ถูกนำไปเป็นข้อต่อสู้ในศาล แต่หากสามารถสู้ได้ก็เป็นผลพลอยได้ เพราะข้อเท็จจริงทั้ง ๙ ข้อ ไม่มีข้อกฎหมายใดๆ รองรับ
เป็นความคิดของพรรคก้าวไกลล้วนๆ
อันตรายมากครับ! การปล่อยชุดความเชื่อที่ไม่อ้างอิงบทบัญญัติในกฎหมาย เพื่อให้ด้อมส้มได้เสพ และเชื่อตามนั้น ไม่ต่างจากการทำสงครามที่ไร้กติกา
ระเบิดโรงเรียน
ถล่มโรงพยาบาล
จับมัดเชลยศึกยิงหัวทีละคน
พรรคก้าวไกลกำลังเล่นเกมนี้อยู่
ข้อแรก ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจวินิจฉัยพิจารณาคดีนี้ นี่คือการมโนล้วนๆ
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ กำหนดหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญให้เข้ามาตรวจสอบการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นี่คือขอบเขต
ขณะเดียวกัน “พิธา” และ “พรรคก้าวไกล” เสนอแก้ ม.๑๑๒ แต่บางครั้งพูดว่า ให้ยกเลิก และมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อให้มีการยกเลิก จึงต้องถามกลับว่า “ขอบเขต” แนวคิดของ พรรคก้าวไกลอยู่ตรงไหนกันแน่
จะให้รวมขอบเขตในโซเชียลที่ “ด้อมส้ม-สามนิ้ว” กระเหี้ยนกระหือรือ ให้ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยหรือไม่
อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เพราะมี ม.๑๑๒ “พิธา” และพรรคก้าวไกล จึงยังไม่กล้าพอที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดตรงๆ ได้
ฉะนั้นไม่ต้องไปห่วงศาลเรื่องขอบเขตอำนาจ
อีกอย่างหากประเด็นนี้มีปัญหาจริงๆ ทำไมพรรคก้าวไกลไม่เคลื่อนไหวให้มีการตรวจสอบเสียแต่แรก จะมาพูดโดยไม่ลงมือทำเพื่ออะไร
เมื่อพูดเรื่อง “ขอบเขต” พรรคก้าวไกลจึงมีข้อน่าสงสัยว่าแท้จริงแล้ว ต้องการระบอบการปกครองแบบไหนกันแน่
ข้อสอง กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นนี้ เส้นตื้นครับ สรุปง่ายๆ คำวินิจฉัยคดี ๓/๖๗ คือ หลักฐานให้ กกต.ต้องยื่นคำร้อง
ขืนไม่ยื่น ถูกร้องเอาผิดตาม ม.๑๕๗ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาอย่างแน่นอน
ข้อสาม คำวินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครอง ไม่ผูกพันคดียุบพรรค นี่คือการตั้งใจ สร้างชุดความเชื่อ เพื่อล้างสมองด้อมส้มเป็นการเฉพาะ เพราะในข้อเท็จจริง คดีล้มล้างการปกครองเป็นที่มาของคดียุบพรรค มีความเกี่ยวโยงกันจบแทบจะแยกกันไม่ออก
คำร้องยุบพรรคก้าวไกลคือ คำวินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครอง นั่นเอง
จะผูกพันหรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่หากจะเปรียบเทียบคือ พรรคก้าวไกลทำความผิดสำเร็จไปแล้ว ที่เหลือคือการลงโทษ
ข้อสี่ การกระทำที่ถูกกล่าวหาไม่ล้มล้างไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ ถามจริงเถอะครับ “พิธา” ใกล้กาวมากไปหรือเปล่า กลับไปอ่านคำวินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครองเสียใหม่แล้วจะหล่อกว่านี้อีกเยอะ
ข้อห้า การกระทำตามคำวินิจฉัยของคดี ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗ ไม่เป็นมติของพรรคไม่ใช่เรื่องนิติบุคคล ประเด็นนี้ถามคำเดียว พรรคก้าวไกลมีนโยบาย แก้ ม.๑๑๒ ใช่หรือไม่ บางคนบอกว่ายกเลิกด้วยซ้ำ
แถมยังประกาศให้รับรู้เป็นการทั่วไปผ่านเว็บไซต์ของพรรค
มันมาจากมติพรรคหรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ วันนั้นไปไล่บี้ สส.ก้าวไกลที่ไม่ยอมเซ็นชื่อในร่าง พ.ร.บ.แก้ ม.๑๑๒ ทำไม
หากนโยบายพรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับมติพรรค ก็แสดงว่าพรรคก้าวไกล เป็นสมบัติของคนบางคนที่สามารถสั่งซ้ายหันขวาหันเท่านั้น
ไอ้ที่ไม่เกี่ยวกับมติพรรคเลยน่าจะเป็นการถอด นโยบายแก้ ม.๑๑๒ ออกจากเว็บไซต์พรรคมากกว่า
มันต้องรีบทำเพื่อหนีตายใช่หรือเปล่า?
ข้อ ๖ โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็นฉุกเฉินฉับพลันและไม่มีทางแก้ไขในระบอบประชาธิปไตย ประเด็นนี้มโนล้วนๆ
รัฐธรรมนูญเขียนไว้ทนโท่ ยุบมากี่พรรคแล้ว แต่ละพรรคสุดยอดทั้งนั้น
แต่ถ้าอยากให้เป็นไปตามที่ตัวเองคิด ก็เขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เลยครับ ไม่ต้องมีศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องมีการตรวจสอบ ไม่ต้องมีการลงโทษ
ข้อเจ็ด ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค
เอางี้ “พิธา” ไปถาม “ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ” ว่าวันนี้ทำใจได้ยังกับการถูกตัดสิทธิทางการเมือง ๑๐ ปี
ข้อแปด จำนวนปีในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองต้องได้สัดส่วนกับความผิด และข้อเก้า การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา
สองข้อนี้ มาได้ไงในเมื่อบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจตัดสินกรรมการบริหารพรรค
ครับทั้ง ๙ ข้อ “พิธา” และพรรคก้าวไกลรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่นี่คือการปล่อยชุดความเชื่อ ให้เชื่อว่า “พิธา” และพรรคก้าวไกล ไม่ได้ทำผิดอะไร
เอาความจริงมาพูดกัน!
ประชาชนทั่วไปจำนวนหนึ่ง รวมทั้งบรรดาด้อมส้ม สามนิ้ว ไม่มีเวลามานั่งดูกฎหมายหรอกครับว่า บัญญัติไว้ว่าอย่างไรบ้าง แต่ก็พร้อมที่จะเชื่อตามที่ “พิธา” และพรรคก้าวไกลป้อนให้
นี่แหละครับคือเจตนาในการแถลงข่าวของ “พิธา”
ความเชื่อที่จะนำไปสู่หายนะของประเทศ