คลิกฟังบทความ..⬇️
เปลว สีเงิน
พูดกันตรงๆ นะ
ปัญหา “คนไทยในอิสราเอล” ผลสืบเนื่องจาก “ปาเลสไตน์-อิสราเอล” ถล่มกัน ตั้งแต่ ๗ ตุลา.มานั้น
“รัฐบาลไทย”…..
ตีโจทย์ “ยังไม่แตก”!
เมื่อยังไม่แตก การช่วยเหลือคนงานไทย การอพยพคนงานสู่ที่ปลอดภัย จึงสะเปะ-สะปะ
ประสิทธิภาพน้อยกว่าที่ควรแล้ว เท่าที่สังเกต ยังสิ้นเปลืองงบค่าใช้จ่าย “โดยไม่จำเป็น” อีกมหาศาล!
ทั้งหมดนั้น ถ้าเปรียบในการศึก
รัฐบาล “รบไม่มีแผนงาน” รองรับเลย!
ไม่มีข้อมูล “ครบด้าน” ไม่มี “พิมพ์เขียว” พื้นที่ปฎิบัติการ
ทั้งไม่เข้าใจว่า งานช่วยตัวประกันนี้ นอกจาก “ในระบบ-นอกระบบ” แล้ว
ยังต้อง “นอกเหนือระบบ” อีกตะหากด้วย!
ประเด็นสำคัญต้องมี “ศูนย์บัญชาการ” และ “คณะทำงาน” ทำหน้าที่ควบคุม-ดูแล-ประสานงานและสั่งงานโดยเฉพาะ
ที่เป็นอยู่ตอนนี้……
สภาพไม่ต่าง “คนตกใจ” ตอนไฟไหม้ คว้าอะไรได้ก็คว้าดะ กระทั่ง “ตุ่มน้ำ” ก็แบกหนีไฟ!
ติดตามดูบทบาทผู้นำของนายกฯ เศรษฐามาตลอด จนถึงวันนี้ ทุกอย่างเหมือนเดิม
“พูดและสั่ง” ในสภาพ “คนตื่นไฟ” มีแต่สัญชาติญาน ไม่มีวิจารณญานเอาเลย!
ท่านตั้ง “ศูนย์ปฎิบัติการ” แล้วหาใครซักคนมานั่ง “ควบคุมศูนย์” ให้การช่วยเหลือ การติดต่อประสานงาน และแผนงาน ออกไปจากศูนย์นี้ที่เดียวเถอะ
แล้วนายกฯ อย่างเพิ่งปากไว รอให้เขาบรีฟประเด็นมาให้ท่านก่อนว่า “อันไหนพูดได้” แล้วค่อยพูด
อย่างเมื่อวาน (๓๑ ตค.๖๖) หลังประชุมครม.ท่านแถลง
“ทราบว่าการต่อสู้ไม่ได้เบาบางลงไป แต่กลับทวีความเข้มข้นขึ้น และมีการปฏิบัติภาคพื้นดินอย่างต่อเนื่อง
อันตรายยังมีอยู่มาก เรายืนยันต่อไป อยากให้พี่น้องคนไทยกลับมา ซึ่งต้องมีการปฏิบัติการเชิงรุก เพราะรู้ว่าการที่พี่น้องไม่กลับมาเพราะอะไร เพราะเป็นเรื่องการเงิน
ซึ่งผมเคยเรียนไปแล้วคร่าวๆ โดยจะให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แถลงรายละเอียดว่า เรามีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร
โดยหลักๆ มี ๒ เรื่อง คือ แรงงานที่กลับมาแล้ว,ที่กำลังจะกลับมา และที่จะกลับมาในอนาคต
จะได้เงินชดเชยคนละ ๕ หมื่นบาท ตรงนี้ได้แน่ๆ และจะได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะยาว คนละไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท เผื่อใครที่ไปกู้มา และต้องทำงานผ่อนใช้”
เทปเก่า เอามารีรัน ไร้กึ๋น ลงท้ายก็ “แจกเงิน”
อย่าว่าสอนเลย ผมว่าเรื่องนี้ ท่านต้อง “แยกโจทย์” ให้ชัด ถ้าไม่ชัด การแก้โจทย์ มันจะมั่ว!
คือปัญหาการถล่มกันระหว่าง “ยิว-ปาเลสไตน์” นั่นเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของเขา ไทยเราไม่เกี่ยว
ปัญหา “ความปลอดภัย” คนงานไทยในอิสราเอลบริเวณฉนวนกาซา อันเป็นพื้นที่คาบเกี่ยว นั่นเราเกี่ยว เพราะเป็นคนของเรา
ปัญหา “ตัวประกัน” ไม่รู้ฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน “จับไป” นั่นเราเกี่ยว
ฉะนั้น รัฐบาลไทย ควรมุ่งเฉพาะจุดนี้ ไม่ต้องไปปากเก่ง-ปากไว ไปยุ่งกรณีพิพาทพื้นที่ ๔,๐๐๐-๖,๐๐๐ ปี ตรงนั้นของเขา
งานนี้เกี่ยวกับใครบ้างล่ะ?
-กระทรวงต่างประเทศ, กระทรวงแรงงาน, กระทรวงคมนาคม, กลาโหม, ความมั่นคง
จะว่าไป สัมพันธ์กับศาสนาด้วย เป็นพิเศษ
บ้านเรา มีความสัมพันธ์ดีงามทั้งกับอาหรับและยิว ทั้งอยู่ร่วมกันด้วยศานติ ทุกศาสนา-ลัทธิ-นิกาย
ก็เชิญ “แต่ละผู้นำ” มาให้คำแนะนำ-ปรึกษา ในทางช่วยเหลือคนงานไทยด้วย
แล้วทั้งหมดนี้ ทำงานรวมเป็น “ศูนย์ปฎิบัติการและสั่งการ” ขึ้นตรงต่อนายกฯ
แบบนี้แหละ “งานถึงจะเดิน” แบบมืออาชีพ!
ระดับบนให้ “กระทรวงต่างประเทศ” เขาทำหน้าที่
ระดับภาคพื้นดินต้องให้ “กระทรวงแรงงาน” เขาทำหน้าที่
เรื่องนำคนงานกลับไทย นั้น ผมว่าเป็น “วาระสุดท้าย”
วาระแรก ควรมี คือ
-ข้อมูลคนงานไทย
-ข้อมูลพื้นที่ ที่คนงานไทยทำงานอยู่
-“สัญญาจ้าง” คนงานที่ทำไว้ ณ กระทรวงแรงงาน
จากนั้น ถึงวาระ ๒
-อพยพนำไปรวมศูนย์ไว้ ณ พื้นที่ปลอดภัย
-ขึ้นทะเบียนทุกคนไว้
-ให้แจ้งประสงค์ใครจะกลับ-ไม่กลับ คัดแยกไว้
วาระ ๓ คือ
เมื่อได้ข้อมูลพร้อม
-มีทั้งพื้นที่ทำงาน
-เงื่อนไขสัญญาจ้างแต่ละนายจ้าง
-รู้ความประสงค์ของแต่ละคนอยากกลับ-ไม่กลับ
-รู้ทั้งพื้นที่ถล่มใส่กันระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอล
เมื่อได้ข้อมูลครบด้าน ทางศูนย์ฯก็สามารถวิเคราะห์-แยกแยะได้ว่า คนงานในพื้นที่ไหนเสี่ยง-พื้นที่ไหนไม่เสียง
รู้อย่างนั้นแล้ว……
รัฐบาลก็ไม่ต้องเหวี่ยงแหออกข่าวด่วนเป็นทางการให้แตกตื่นทั้งคนงานไทยและญาติพี่น้องในเมืองไทย ว่าให้เดินทางกลับด่วน!
แล้วส่งเครื่องบินไปรับกลับมั่วไปหมด
คิดซิ…การต้องเช่าโรงแรมในอิสราเอลให้คนงานนับหมื่นพักครึ่งค่อนเดือนหรืออาจเป็นเดือน รอเครื่องบินรับกลับ แล้วก็กลับบ้าง-ไม่กลับบ้างนั้น
ทั้งค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรม และอีกจิปาถะ กับการบริหารงานที่ไม่มีแผนงาน มันสูญเปล่าขนาดไหน?
ถ้ามี “แม่งานรวมศูนย์”……
การนำข้อมูลแต่ละหน่วยงานมาเข้าสมการเป็น “แผนปฎิบัติการ” สั่งแต่ละยูนิตดำเนินการมาบรรจบกัน
มันจะไม่กะเร้อ-กะรัง ทั้งความปลอดภัยเบื้องต้น การอพยพกลับในขั้นสุดท้าย รวมทั้งสวัสดิภาพตัวประกัน
ความสำเร็จ จะ “เห็นผล” มากกว่านี้ ทั้งจะไม่เป็นการทำงานแบบ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” อย่างนี้!
เข้าใจกันให้ชัดๆ
ปัญหาดินแดนปาเลสไตน์ เป็นปัญหา “ส่วนตัว” ของเขา
ระหว่าง “ยิว-อาหรับ”
เราแค่ส่งคนงานไปทำงานในบ้านเขา ฉะนั้น ทุกฝ่ายประหนึ่ง “มิตรสหาย” ของเรา เพียงแต่ “แปลกหน้า” เท่านั้น
เมื่อเขารบกัน เผอิญเราอยู่ตรงนั้น ยามหน้าสิ่ว-หน้าขวาน มันจะรู้ใคร-เป็นใครได้ล่ะ เพราะลูกปืนมันไม่มีลูกตา
ฉะนั้น คนงานมีโอกาสตายได้ทั้งลูกปืนฮามาสและลูกปืนอิสราเอล!
และจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เขาเพิ่งยิงกัน พื้นที่คนงานไปเก็บผลไม้-ทำไร่ แถบฉนวนกาซาด้านเหนือ มันเป็นพื้นที่ ๒ เจ้าของแย่งชิงกันอยู่
มีการยิงบั้งไฟเฉี่ยวหัวแทบทุกวันแหละ แต่ถล่มหนักกว่าทุกวัน ก็เมื่อ ๗ ตุลา.นี่แหละ!
คนงานเขารู้ ว่าเขาทำงานอยู่พื้นที่ไหน ปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย เสี่ยงมาก-เสี่ยงน้อย
ดังนั้น จำเป็นต้องอพยพกลับ หรือไม่จำเป็น แต่ละคนงานชั่งน้ำหนักได้ เพราะมันไม่ได้ถล่มกันแบบปูพรมแหลกไปหมด
ฉะนั้น พื้นที่ไหนปลอดภัย ก็ไม่จำเป็นตื่นตูม
การฟังข่าว “ด้านเดียว” แล้วจินตนาการตาม มันไม่ใช่ คิดง่ายๆ ถ้าถล่มกันแหลกตามข่าว เครื่องบินจะบินไปลงสนามบินอิสราเอลได้ทุกวันนี้หรือ?
และที่นายกฯ เที่ยวให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไปพูดแรงๆ กับทูตอิสราเอลเรื่องนายจ้างดึงเวลาจ่ายค่าแรง ใช้เงินล่อใจให้คนงานอยู่ต่อ” นั้น
ขอถามคำ คนงานพูดปุ๊บ ท่านเชื่อปั๊บเลยหรือ?
ทำไม ไม่ถามกระทรวงแรงงานเขาก่อนล่ะว่า “สัญญาจ้าง” มีว่าไง สอบสวนทวนความแล้ว ข้อเท็จจริงมันคืออะไร?
ท่านควรรู้ คนงานไทยในอิสราเอล ไม่ใช่ “ผีน้อย” อย่างเกาหลี หากแต่ “กระทรวงแรงงาน” คัดแล้วส่งไปตามข้อตกลงกับอิสราเอลโดยตรง
ฉะนั้น “สัญญาจ้าง” จะระบุเงื่อนไขหมด รวมทั้งเวลาจ่ายเงินแต่ละเดือน หลักการกว้างๆ ต้องจ่ายภายในวันที่ ๑๐ ของแต่ละเดือน
เว้นแต่นายจ้าง-ลูกจ้างบางราย พอใจตกลงสัญญา จ่ายเป็นรายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน เบี้ยวไม่ได้
กรณีเพิ่มเงินจูงใจให้อยู่ นั้น
ไปว่าอะไรเขา นายกฯ เอง ยังให้ ๕ หมื่น จูงใจให้กลับเลย!
ตอนคุณบริหาร “แสนสิริ” ลูกน้องมือดีในบริษัทลาออก คุณไม่เสนอเงินเดือนเพิ่มเป็นแรงจูงใจเขาหรือ?
กรณีอย่างนี้ มันขี้หมา ถึงขั้นระดับนายกฯ ต้องโทรศัพท์ไปพูดแรงๆ กับทูตของเขา ดีนะ…ที่เขามีมรรยาท ไม่สวนกลับอย่างที่ใจเขานึก!
คนงานเก็บผัก-ผลไม้ที่อิสราเอล อย่างต่ำๆ ก็เดือนละ ๘๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป เอะอะให้กลับ ก็เห็นใจเขา
นายกฯ คงเหมือนผม “หลับตานึกเอา” ไม่เคยไปเห็นพื้นที่จริง ตูมขึ้นมา ก็นึกว่าเสี่ยงไปหมด
แต่ที่แท้…โน่น….
ตูมมม..ที่ “หนองจอก” แต่เราทำงานอยู่ “หนองแขม”
แล้วจะต้องหนีกลับไปตั้งหลักที่บ้านอุดรฯ ทำไม?
นี่ถ้าบริหารมี “แผนงาน” นะ
แค่ส่งคน “กระทรวงแรงงาน” ลงไปตั้งแคมป์แล้วอพยพคนงานไปพักชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัยในอิสราเอลซักแห่ง
เอาค่าโรงแรมหรูไม่รู้กี่ล้าน มาเป็นค่ามะละกอดิบ น้ำปลาร้า ตำส้มตำ เซิ้งบ้องไฟ กินกันสนุกสนาน ถ่ายคลิปให้ลูกเมียดูทางบ้าน สบายใจ-หายห่วงไปนานแล้ว
ใครอยากกลับ-ก็กลับ, อยู่-รอสงบแล้วเข้าทำงานต่อ ก็อยู่, แบบนี้ จะวิน-วิน ทั้ง ๓ ฝ่าย คือ นายจ้าง-ลูกจ้าง-รัฐบาล
นี่…เอะอะ บ้าจี้ ขนกลับไทยดะ
ตอนเขาเลิกรบ จะกลับไปใหม่ ทางอิสราเอลและนายจ้างเขาหมั่นไส้ขึ้นมา….
“แสนสิริ-เอสซี แอสเสท” จะรับคนตกงานนับหมื่นๆ คนนี้ เข้าทำงาน สตาร์ทเดือนละ ๘ หมื่นมั้ยล่ะ?
พูดก็พูดเถอะ ต่อให้สูงถึงชั้น ๑๔
มันก็ยัง “คนละชั้น” อยู่ดี กับ “นายกฯ ประยุทธ์” ในเชิงบริหาร!
เปลว สีเงิน
๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖