เปลว สีเงิน
วันนี้ ความจริง “ผมลาป่วย”
จะนอนชั้น ๑๔ เขาก็มีไว้เฉพาะเทวดา
ครั้นจะนอนทำเนียบ ถึงผมชอบสร้างภาพว่าบ้างานหามรุ่งหามค่ำ แต่ก็นอนไม่ได้
เพราะไม่ใช่นายกฯ!
แค่ “หลับนก” ที่สำนักงานละพอได้ ฉะนั้น ก็คุยกันไปซะเลย
“เพื่อไทย” เขามีหัวแล้วนะ รู้ยัง?
เมื่อวาน (๒๗ ตค.๖๖) “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ขึ้นเป็นประมุขพรรค สืบต่อสายเลือดพรรคตระกูล “ชินวัตร” คือพรรคเพื่อไทย
นับเป็นทายาทรุ่นที่ ๔
ต่อจาก พ่อ-ทักษิณ, อาเขย-สมชาย, และอาปู-ยิ่งลักษณ์
และ “อุิ๊งอิ๊ง” นี่แหละ ที่ได้รับการวางตัว เป็น “นายกฯของตระกูล” ในอันดับต่อไป
คือจาก “นายกฯเศรษฐา”!?
“นายกฯนอกตระกูล” นอกจากอดีตนายกฯสมัคร ที่ถูกหักหลังจนตรอมใจตาย คนที่ ๒ ก็นายเศรษฐา นายกฯคนปัจจุบันนี้แหละ
มีคนช่างถาม ทำไมไม่ให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ ซะเลย ต้องให้เศรษฐามาเป็นทำไม?
เป็นคำถาม เช้ยยยยเชย!
เคยดูหนังจีนมั้ย ก่อนฮ่องเต้จะเสวย เขาต้องเอาเข็มเงินหรืองาจิ้มอาหารแต่ละจานให้ “ขันที” ชิมก่อน
ถ้ามียาพิษ ขันทีก็ ชักแหงกๆ
น้ำลายฟูมปาก ซี้แหงแก๋แทนฮ่องเต้!
นี่ก็เหมือนกัน เลือกตั้งกะ “แลนด์สไลด์” แต่เพื่อไทยกลับหงายท้อง “พรรคก้าวไกล” เป็นฝ่ายแลนด์สไลด์แทน
กว่าจะส่ง “ชลน่าน” ไปเล่นเกม “ซ่อนตูดแมว” หลอกให้ก้าวไกลดม จนเสียสิทธิ์เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลให้เพื่อไทย
ก็ต้องตีบท “คนสองหน้า-วาจาสองลิ้น” แทบเสียหมาทั้งคอกยันหัวหน้าคอก!
“ก้าวไกล” กว่าจะรู้ตัว ว่าเสียท่าให้ “ผู้ใหญ่หลอกเด็ก”
เพื่อไทยก็ไปตั้ง “รัฐบาลสมานฉันท์” กับฝ่ายเผด็จการเรียบร้อยซะแล้ว!
เด็กเพิ่งพ้นวัย “ฉี่รดที่นอน” มันก็ “หัวร้อน” ไปเท่านั้น
ตอนนั้น “ก้าวไกล” กำลังของขึ้น
เมื่อ “ดีลรัก” กลายเป็น “ดีลลวง” แค้นของก้าวไกลมันก็เดือดระดับ X ๒ เสี่ยงลงถนน ศึกหลอกเด็กจนเกิดจลาจล
ขืนส่งอุ๊งอิ๊งขึ้นไปรับหน้าตอนนั้น มันก็ไม่ต่างฮ่องเต้ เสวยอาหาร โดยไม่ผ่านการชิมของขันที
เศรษฐาไม่ต่าง “ขันที” คนนั้น!
ปรากฏว่า “เด็กหัวร้อน” บ่มิไก๊ ดีแต่หมกมุ่น เรื่องเซ็กซ์ เรื่องเพศ เรื่องเฟก เรื่องของเมา เหล้า-เบียร์
จากขึ้นสูงเลยหัว ลงต่ำเลยสะดือ!
“ขันที” ตัวทดสอบ “ไม่ตาย”
หมายความว่า ผ่านด่านอันตราย ประเทศไทย “อาหารฮ่องเต้” จานนี้ “ปลอดภัย”
ฉะนั้น “นายกฯ ขันที” ก็ควรเตรียมทำใจ อยู่ไปถึงพฤษภา.๖๗ รับหน้าเสื่อคุก จากนโยบายตกเบ็ด “แจก ๕.๖ แสนล้าน” เรียบร้อยแล้ว
ถ้าไม่ “แจว” ไปก่อนเอง
ก็จะตกอย่าง “เจ็บ” เหมือนสมัคร!
“เพื่อไทย” เป็นพรรคของ “ตระกูลชินวัตร” เค้า
เศรษฐาก็ต้องเข้าใจ เพราะตัวเองก็ไม่ต่างทักษิณ
ทักษิณคิดยังไง เศรษฐาก็คิดอย่างนั้น ในเรื่อง “สมบัติของตระกูล”
ก่อนเป็นนายกฯ เศรษฐากล้าโอนหุ้น “แสนสิริ” ให้คนนอกตระกูลมั้ยล่ะ?
ก็ไม่กล้า…
เศรษฐาโอนหุ้นทั้งหมดกว่า ๖๐๐ ล้านหุ้น ให้ลูกสาว “นางสาว ชนัญดา ทวีสิน”!
ตำแหน่งนายกฯ นี่เหมือนกัน ไม่ต่างหุ้นชินคอร์ปที่ทักษิณซุกไว้กับคนใช้-คนขับรถ “ชั่วคราว”
ถึงเวลา ก็โอนกลับให้ “ลูกสาว-ลูกชาย” เขาหมด
มันเป็นสัจธรรมนิติกรรมเชิงฉ้อฉล เศรษฐา จะเล่นการเมือง ยังโอนหุ้นแสนสิริให้ลูกสาว
แล้วมันเป็นได้หรือ ที่เพื่อไทยได้อำนาจเหนือประเทศแล้ว ทักษิณจะไม่ “โอนอำนาจ” ที่ฝากเศรษฐาไว้ กลับคืนมาให้ลูกสาว!?
ฉะนั้น มันก็โยงมาถึงเรื่อง แจก “ดิจิทัล โทเคน” คนอายุ ๑๖ ปีขึ้นไปแจกถ้วนหน้า คนละ ๑ หมื่น ๕๖ ล้านคน จำนวนเงินรวม ๕.๖ แสนล้านบาท นั่นแหละ
ระวังเถอะ….
ทักษิณหลอกไป “ติดคุกแทน” ลูกสาวเขา แล้วเศรษฐา คุณก็จะเหมือน “บุญทรง” ที่ถูกยิ่งลัษณ์ใช้เป็นเหยื่อหลอกไปติดคุก ส่วนตัวเอง “ลอดช่องหมารอด” หนีสบาย!
ผมดูแล้วนะ ต่อให้ยักกระสายวิธีแจกไปแบบไหน แต่การจะหาเงิน ๕.๖ แสนล้านมาแจก ถ้าไม่กู้ ก็ต้องวิธี “ฉ้อฉลทางงบประมาณ”
ซึ่งมัน “คุก” ทั้งนั้น!
ตอนนี้ยอมใช้แพลตฟอร์มกรุงไทย แต่ยังดันทุรัง ไม่แจกเงินสด แต่แจกเป็นคูปองผ่านแอป “ดิจิทัล วอลเล็ต”
มันก็ไม่พ้นพิรุธในประเด็นว่า ทำไมต้องเป็นโทเคน และทำไมต้องจัดทำระบบแอปใหม่ ไม่ใช้แอปเป๋าตัง?
เพราะแจกเงินสดผ่านแอปเป๋าตัง มันไม่มีค่าทำโทเคน ๕๖ ล้านโทเคนหรือเปล่า …คนเขาสงสัย
ต้องเข้าใจว่า โทเคนนี้ คลัง-แบงก์ชาติไม่ออกเอง มีบริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้ออกโทเคนเป็นผู้ออก
ซึ่งก็ต้องมี “ค่าทำ” ระดับหมื่นล้าน
ตอนแลกโทเคนกลับเป็นเงินสดตอนจบโครงการ บริษัทเอกชนที่ให้บริการ เขาก็ต้องคิดค่าธรรมเนียม ไม่ต่ำกว่า ๓%
๕.๖ แสนล้าน ๓ % ส่วนนี้ กี่หมื่นล้าน คิดกันเอง!
รมช.จุลพันธุ์บอก ใช้แพลตฟอร์มกรุงไทย
แต่จะพัฒนาระบบ “ดิจิทัล วอลเล็ต” ขึ้นใหม่ รองรับการแจก และว่า ใช้เงินอีกนิดหน่อย ไม่เกิน ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท
๑๒,๐๐๐ ล้าน นิดหน่อย นั้นเงินภาษีประชาชน ไม่ใช่เงินพรรคเพื่อไทย และรู้เปล่า ค่าปรับปรุงระบบรายปีอีก ไม่น้อยกว่าปีละหมื่นล้าน
คำถามที่ตามมา จึงมีว่า…..
“ทำไมไม่ใช้แอปเป๋าตังของกรุงไทยไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเปล่าอีกนับหมื่นๆ ล้านบาท?”
อันนี้ ผมไม่มี “เจโตปริยญาน” จึงเดาใจเศรษฐา-จุลพันธุ์ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งพอจะบอกได้ คือ
การพัฒนาแอปใหม่ต่างหาก นั่นหมายถึง “ข้อมูลส่วนบุคคล” ไม่ต่ำกว่า ๕๖ ล้านคน ตกอยู่ในกำมือพรรคเพื่อไทย!
ยิ่งตอนนี้ จัดเกรด คนไหนจน-คนไหนกึ่งจน-กึ่งรวย-คนไหนรวย โดยวัดจากบัญชีเงินฝาก และบัญชีเงินเดือนแต่ละคน
ฉิบหายกันใหญ่เลย…ตานี้!
ก็ต้องไปไล่ตรวจบัญชีแต่ละคนตามแบงก์ ตามบริษัทห้างร้าน ซึ่งเรื่องการเงินของแต่ละคนนั้น เป็น “ข้อมูลลับส่วนตัว” ที่สำคัญมาก
แบงก์ไหน ขืนนำไปเปิดเผย มีสิทธิ์ถูกฟ้อง และถ้าข้อมูลนี้ รั่วไหลอออกไป แบงก์จะต้องรับผิดชอบด้วย?
อย่าลืม….
ข้อมูลนี้มันไปอยู่ใน “แอปการเมือง-เพื่อการเมือง” ชั่วคราว ไม่เหมือนแอปเป๋าตัง ซึ่งเป็นระบบของรัฐ ใครมาเป็นรัฐบาลก็ใช้ได้ ไม่ใช่แอปเฉพาะของพรรค
และบริษัท ร้านค้า ที่เข้าโครงการ รวมทั้งผู้รับเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทนั้น “ต้องลงทะเบียน”
นั่นหมายถึง ทั้งหมดเข้าอยู่ในระบบการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของกรมสรรพากรและเงินฝากในบัญชี รวมถึง VAT ๗%
เมื่อเห็น “คุกรออยู่” เช่นนี้ เศรษฐาแม้ปากแข็ง แต่ตูดนิ่มป๋อย เริ่มหาวิธีเล่นแร่แปรธาตุ จะดึงงบประมาณในอนาคต ๔ ปี มาแจกก่อนในปัจจุบัน
ถามว่า จาก ๒๘ ตุลา. ๖๖ – ๒๘ ตุลา.๗๐
แน่ใจหรือว่า “เพื่อไทย-เศรษฐา” ยังเป็นรัฐบาลอยู่?
เอาเงินอนาคตมากินก่อน……
แล้ว “ทิ้งขี้” ไว้ให้รัฐบาลต่อไป “มาล้าง-มาเช็ด” ทำเหมือนตอนทักษิณเป็นนายกฯทำ
เงินน่ะใครก็เอา แต่ภาระประเทศ คือหนี้ ใครล่ะ รับผิดชอบ?
งบประมาณแต่ละปี แทนที่จะได้นำไปพัฒนาประเทศกลับต้อง “ถูกตัด-ถูกหั่น” ไปสนองเพื่อนโยบายหาเสียงพรรคเพื่อไทย
ซึ่งไม่มีใครได้ประโยชน์ยั่งยืนเลย นอกจากเพื่อไทยโดยตรง!
การตั้ง “งบผูกพัน” ไป ๔ ปี ถ้าใช้เพื่อการลงทุน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นั่นมีเหตุผล
แต่เอามาเป็นเงิน “แจกแก้บน” ตอนหาเสียง มันไม่เป็นการตุ้นเศรษฐกิจเลย
ตรงกันข้าม มันบ่อนทำลายความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ทางการเงิน-การคลัง และสังคมทั้งปัจจุบันและอนาคตเห็นชัด
ดูซี…ทุกวันนี้ สังคมไทย เป็น “สังคมรอแจก” ไปหมดแล้ว คำว่า “หนักเอา-เบาสู้” ทำงานเอาเหงื่อแลกเงินแทบไม่มี
ทุกอย่าง “รอรัฐแจก”
ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ขี้ไม่ออก เยี่ยวไม่ออก โยนเป็นภาระรัฐหมด!
“เงินแก้บน” นี่แหละ มันทำให้เกิดระบบ “เงินแก้ล่าง”!
“เงินแก้ล่าง” ก็ค่าทำระบบใหม่ ค่าออกเหรียญดิจิทัล โทเคน ค่าธรรมเนียมบริการนำโทเคนขึ้นเงิน
และการที่ร้านค้าต้องเก็บโทเคนไว้ ๑ ปี ถึงจะนำมาขึ้นเงินได้ตามรอบงบประมาณแต่ละปี รวม ๔ ปี นั้น
จะทำให้เกิดตลาดมืด “รับซื้อโทเคน”
บริษัท ร้านค้าไหน อยากได้เงินก่อน ก็จะเอาโทเคนมา “ขายลดราคา” กับพ่อค้าตลาดมืด
สมมติมีอยู่ ๑ แสนโทเคน เท่ากับ ๑ แสนบาท ขายไปเขาหัก ๑๐% ก็จะเหลือ ๙ หมื่น!
ใน ๕.๖ แสนล้าน “ตลาดมืด” จะฟันค่ารับซื้อเหมือนการซื้อ-ขายเช็คล้วงหน้าไปอีกเท่าไหร่
สรุป มันกระตุ้นเศรษฐกิจหรือกระตุ้นโกง?
ไอ้ “เงินแก้ล่าง” นี้…..
จะทำลายทั้งระบบเศรษฐกิจ ทั้งระบบการเงิน-การคลัง รวมทั้ง “มาตรฐานประเทศ” ย่อยยับ
มันเกิด-ไม่เกิดก็ได้ กรณีนี้ แต่ผมฝากให้คำนึงถึงกันไว้ ในการเมือง DNA ทักษิณ!
ต้องเข้าใจกันให้ชัด
“กระทรวงการคลัง” เป็น “คลังของประเทศ-เพื่อประเทศ”
แต่วันนี้ โดยรัฐมนตรีคลังชื่อ “เศรษฐา”
กำลังทำให้ “คลังประเทศ” เป็น “คลังของเพื่อไทย” โดยเพื่อไทย และเพื่อเพื่อไทย
ผมไม่ห้ามนะ ถ้าคุณอยากเป็น “นักโทษเทวดา” คนที่ ๒!
เปลว สีเงิน
๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๖