ผักกาดหอม
สงสัยจะป่วยจริง
แต่ที่สงสัยกว่าคือ ทั้งที่ประชาชนค่อนประเทศสงสัยว่า “นักโทษชายทักษิณ” ป่วยจริงหรือไม่ ตระกูลชินวัตรกลับไม่กระตือรือร้นที่จะคลายความสงสัยที่ว่านี้เลย
ก็ยังสงสัยกันต่อไปว่า ป่วยจริง หรือป่วยไม่อยากเข้าคุก
ก็มีแพลมๆ ออกมาบ้างเหมือนกัน วานนี้ (๒๔ ตุลาคม) นายกฯ เศรษฐาบอกว่า “อุ๊งอิ๊ง” เล่ามาอีกที
“เจาะ ๔ รูที่ตรงหัวไหล่ ยังปวดอยู่”
โอเคครับ เจาะ ๔ รู ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่ก็ไม่รู้เป็นโรคอะไร
กรมราชทัณฑ์ ให้ข้อมูลว่า ถูกส่งเข้าห้องผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ เสร็จแล้วพักที่ห้องไอ ซี ยู ศัลยกรรมประสาท
ตำราบอกว่า “ออร์โธปิดิกส์” เป็นสาขาวิชาหนึ่งของวิชาศัลยศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก ข้อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกาย
ก็ไม่รู้อยู่ดีว่า “นักโทษชายทักษิณ” เป็นอะไร ทำไมต้องผ่า
ปวดกระดูก ปวดข้อ ปวดเอ็น อย่างนั้นหรือ แล้วทำไมไม่บอกตรงๆ
ลองชั่งน้ำหนักดูครับ การทำให้ทุกเรื่องของ “นักโทษชายทักษิณ” เป็นความลับ กับการบอกความจริงเป็นระยะๆ อะไรจะสร้างความยุ่งยากให้มากกว่ากัน
แค่ถ่ายรูปมาสักใบแล้วแจกจ่ายสื่อมวลชน เอาไปแชร์ในโซเชียล ให้เห็นจะจะว่าป่วยจริง เจาะ ๔ รู จริง ไอ้ที่ลือๆ กันมันก็จบ
สังคมให้อภัย เชิญผู้ป่วยโคม่านอนห้องวีไอพีชั้น ๑๔ ต่อไป
แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างคือความลับ
ผิดกับคราวก่อนๆ ป่วยเข้าโรงพยาบาลที่สิงคโปร์บ้าง ดูไบบ้าง เห็นถ่ายรูปอวดในโซเชียล เห็นขนจมูกโผล่มา ๒-๓ เส้น ชัดแจ๋ว
ทำไมถึงโชว์ได้
แต่ครั้งนี้ดันไม่โชว์ ทั้งๆ ที่มันเรียกคะแนนสงสารได้โขอยู่
หรือคนละเงื่อนไขกัน
ครั้งนี้มีคุกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือเปล่า
สถานการณ์แบบนี้ “นักโทษชายทักษิณ” ต้องสร้างภาพ สร้างให้สาธารณชนได้เห็นว่า หากเข้าไปอยู่ในคุกโอกาสเป็น-ตาย เท่ากัน
ให้ทุกคนเชื่อว่า ป่วยหนักจริง
แต่นี่อะไรกัน…ภาพก็ไม่คิดสร้าง
แถมผู้คนแวดล้อมยังแสดงอาการผิดธรรมชาติให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ลองจับอาการ กรมราชทัณฑ์ กับ โรงพยาบาลตำรวจ ดูสิครับ ทำราวกับ “ทักษิณ” ไม่ใช่นักโทษที่้ต้องเข้าไปอยู่ในคุก
ยกตัวอย่างวันก่อน กรมราชทัณฑ์เปิดสถิติสะสมการส่งผู้ต้องขังป่วยออกไปรักษาพยาบาลนอกเรือนจำนานเกิน ๓๐ วันขึ้นไป ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ จนถึงปัจจุบัน มีทั้งสิ้น ๑๔๙ คน
แบ่งเป็น เกินกว่า ๓๐ วัน จำนวน ๑๑๕ คน
เกินกว่า ๖๐ วัน จำนวน ๓๐ คน
และเกินกว่า ๑๒๐ วัน จำนวน ๔ คน
เอาสถิตินี้มาโชว์เพื่ออะไรครับ จะบอกว่า “นักโทษชายทักษิณ” ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่านักโทษคนอื่นๆ อย่างนั้นหรือ
ประชาชนไม่ได้อยากรู้ว่ามีนักโทษไปรักษาตัวนอกคุกกี่คน คนละกี่วัน เพราะเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์เอาไม่อยู่รักษาไม่ได้
แต่ที่เขาสงสัยคือ “นักโทษชายทักษิณ” ยังไม่ได้เข้าคุกเลยแม้แต่วันเดียว
ออกจากศาลก็ตรงดิ่งไปโรงพยาบาลเลย
สถิตินี้น่าจะเป็นของ “นักโทษชายทักษิณ” คนเดียว
ที่เขาสงสัยหนักเข้าไปอีกคือ ทำไมต้องยึดห้องวีไอพีไว้ตั้ง ๒ เดือนแล้ว
ผู้ป่วยวีไอพี ที่ไม่ใช่นักโทษ ก็น่าจะมีอยู่หลายคน ต้องต่อแถว รอจนกว่า นักโทษหนีคุก จะกลับบ้านจันทร์ส่องหล้าก่อน อย่างนั้นใช่หรือเปล่า
เห็นมั้ยครับ ข้อสงสัยมันเต็มไปหมด แล้วก็ปล่อยให้สงสัยกันต่อไป
หรือการเฉลยความจริงจะส่งผลเสียให้ ทักษิณ และคนรอบข้างมากกว่า
เก็บเป็นความลับไว้ดีกว่า
ก็…อวยพร ครับเก็บรักษาความลับเอาไว้ให้ดี อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด
ไม่งั้นไปทั้งแผง
มาดูพรรคก้าวไกลบ้างครับ ก็เตือนมิตรรักแฟนเพลงช่วงนี้อย่าคาดหวังอะไรจากพรรคก้าวไกลมากนัก เพราะลำพังเอาตัวเองให้รอดยังยากอยู่
ฉะนั้นอย่าไปตั้งคำถามเยอะว่าทำไมก้าวไกล ไม่ยอมทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้เต็มสูบเสียที ทำไมไม่วิจารณ์เรื่อง “นักโทษชายทักษิณ” บ้าง
ติดหล่ม สส.บ้ากามอยู่ครับ
พรรคที่มากับความคาดหวังว่า จะปฏิรูปประเทศ จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ให้ดีกว่าเดิม ตอนนี้ขอแก้ปัญหาเดิมๆ ในพรรคให้เสร็จก่อน
เดี๋ยวจะเข้าใจผิดหาว่าบูลลี
เปล่าครับ ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ผูกขาดความแปลกใหม่ในสังคมหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
ความเท่าเทียมทางเพศ
คนเท่ากัน
เท่าถึงขนาดจะอ้าแขนรับ ชาวโรฮีนจาอพยพ สู่อ้อมกอดของประเทศไทยทุกคน
ไปดูนโยบายด้านการสร้างความเสมอภาคก่อนเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล บอกตรงๆ ว่าเคลิ้มตาม
พรรคก้าวไกลมีจุดมุ่งหมายในการผลักดันให้เกิดการคุ้มครองกลุ่มประชากรสำคัญ ซึ่งอาจถูกกีดกันและเลือกปฏิบัติ เช่น เพศหญิง เพศหลากหลาย คนพิการ ผู้มีเชื้อเอชไอวี ผู้ติดยาเสพติด ผู้ต้องขังในเรือนจำ เป็นต้น
โดยยึดหลักความเสมอภาคเท่าเทียม โอบรับความหลากหลายและการเสริมสร้างบทบาท เพื่อสร้างโครงข่ายทางสังคมที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสิทธิที่ควรได้รับอย่างเป็นธรรม
จะทบทวน และปรับเปลี่ยนกฎหมาย ระเบียบ และมาตรการต่างๆ ของรัฐทั้งในทางนิตินัย และในทางปฏิบัติที่ยังขัดแย้งกับหลักความเท่าเทียมระหว่างเพศเพื่อให้กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากล เพื่อเป็นจุดเปลี่ยนของการสร้างความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม
ให้มนุษย์ทุกคนในสังคมไทยสามารถอยู่ร่วมกันด้วยการเคารพความแตกต่าง และโอบรับความหลากหลาย มุ่งนำพาสังคมไทยให้ไปสู่การอยู่ร่วมกันด้วยความเท่าเทียม
แล้วเป็นไงครับของจริง มีคนทรยศนโยบายพรรค
กี่รายแล้วครับที่คุกคามทางเพศ ก่อความรุนแรง
นี่ล่าสุดกรณี สส.ก้าวไกลฝั่งธนฯ สอบล้างน้ำไปหลายรอบแล้ว ก็ยังไม่สะอาดเสียที ช่างต่างกับตอนขับ “รองอ๋อง หมูกระทะ” พ้นพรรคเหลือเกิน
จากไวปานกามนิตหนุ่ม มาเป็นเฉื่อยเรือเกลือ
ผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองล้วนๆ ไม่มีประชาชนปนเลย
แล้วจะไปเปลี่ยนประเทศอย่างนั้นหรือ
ไปเล่นที่อื่นไป๊