15 สิงหาคม 2566 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลกและรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ตอบโต้ตนในประเด็นที่มีการโพสต์คราฟเบียร์แอลกอฮอล์ในเฟซบุ๊กว่า
ข้อเท็จจริงจากคำให้สัมภาษณ์ของนายปดิพัทธ์ เป็นคำให้การยอมรับสารภาพอยู่ในตัว ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฏรแต่กลับแสดงความเห็นในเรื่องหลักการกฎหมายบ้านเมืองมีตรรกะที่ผิดเพื้ยนทั้งสิ้น
คนที่มีสติปัญญาเขาไม่พูดออกมาเช่นนั้นแน่นอน ที่บอกว่าการโพสต์รูปคราฟเบียร์ ว่า เป็นเรื่องปกติ ความจริงคนที่โพสต์ผิดปกติมากกว่า
คำรับสารภาพที่ชัดเจนคือการยอมรับว่ากฎหมายห้ามโฆษณามีตอนปี 2551 ความหมายคือคุณรู้อยู่แล้วว่ามีกฎหมายห้าม เมื่อมีการกระทำใดที่มีลักษณะเข้าองค์ประกอบความผิดก็ต้องดำเนินคดี จะมาอ้างว่ากฎหมายผิดปกติไม่มีความชอบธรรม ต้องมีการแก้ไข
ซึ่งอนาคตจะมีการแก้ไขตามความต้องการของใครเป็นเรื่องของอนาคตแต่ขณะนี้กฎหมายห้ามโฆษณาแอลกอฮอล์ยังใช้บังคับอยู่ ขอให้เอาเหตุผลที่พูดไปแก้ตัวในชั้นศาลอยากรู้เช่นกันว่าจะฟังขึ้นหรือไม่
นายราเมศกล่าวต่อกรณีที่นายปดิพัทธ์ กล่าวว่าตนเป็นรองประธานสภาไม่ใช่เสมียนบรรจุกฎหมาย ก็ต้องมีความคิดที่จะเสนอต่อสังคมได้ ประเด็นนี้คุณเป็นรองประธานสภาคนที่ 1 คุณไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย คุณต้องมีจิตสำนึกเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน มิหนำซ้ำยังกระแนะกระแหนว่าตนเป็นรองประธานสภาไม่ได้เป็นเสมียนตรากฎหมาย เรื่องนี้หลักการความเป็นมนุษย์เท่ากัน เสมียนตรากฎหมายอาจจะมีจิตสำนึกมากกว่าคนที่เป็นรองประธานสภา ที่พูดมาไม่อายสุนัขที่ข้ามทางม้าลายเลยหรือ
นายราเมศกล่าวตอนท้ายว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการให้มีการบังคับใช้กฎหมายต่อประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน แต่ถ้าจะบอกว่ากฎหมายมาตราดังกล่าวยกเว้นให้รองประธานสภาคนที่ 1 ทำได้ก็แจ้งมาเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องจริยธรรมก็ว่ากันไปตามขั้นตอนของสภา ก็ต้องยอมรับผลจากการกระทำไม่ต้องไปโทษคนอื่น