นายกฯ มอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 ชื่นชมนำทุนวัฒนธรรม เสน่ห์วิถีชีวิต อัตลักษณ์ วัฒนธรรมประเพณี ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (23 ธ.ค.65) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565
เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 ที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ และผู้ว่าราชการจังหวัดที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนการขับเคลื่อนชุมชน จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)
โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด ผู้นำชุมชน 10 จังหวัด ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำชุมชน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ ดังนี้ (1) รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่/ชุมชนคุณธรรมฯ แหลมสัก (2) รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเมืองรวง (3) ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี/ชุมชนคุณธรรมฯ วัดทรายขาว (4) ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต/ชุมชนคุณธรรมฯ ย่านเมืองเก่าภูเก็ต
(5) ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านภู (6) รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านบ่อน้ำร้อน (7) ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ/ชุมชนคุณธรรมฯ วัดบางน้ำผึ้งใน (8) รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านหนองบัว (9) รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านถ้ำกลองเพล และ (10) รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี/ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเชียง
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีและชื่นชม 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 และผู้ว่าราชการจังหวัดที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนการขับเคลื่อนชุมชนจนประสบความสำเร็จ ซึ่งได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้ว ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบทั้งประเทศไทยและทั่วโลก
และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของประชาชนในทุกภาคส่วน แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ทุกคนรวมพลังกันเพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหาซึ่งประเทศไทยก็สามารถบริหารจัดการในเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยจากสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไทยสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาได้
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีการเร่งพัฒนาในด้านต่าง ๆ ต่อเนื่องภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ สิ่งที่ทุกคนร่วมกันทำอยู่ถือเป็นการช่วยรัฐบาลอีกทางหนึ่งซึ่งเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนในการทำให้หมู่บ้าน ชุมชน ตำบลของตนเองดีขึ้นโดยใช้ศักยภาพด้านต่าง ๆ ที่แต่ละพื้นที่มีอยู่ทั้งด้านเกษตรกรรรม อุตสาหกรรม อัตลักษณ์ วัฒนธรรม ท่องเที่ยว และอื่น ๆ มาพัฒนาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย
โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดร่วมกันดำเนินการขับเคลื่อนในเรื่องนี้อย่างจริงจังต่อเนื่อง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งการขับเคลื่อนเรื่องของวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่และท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นสามารถที่เข้าสู่ระบบการเสียภาษีเพื่อรัฐจะจัดเก็บเป็นรายได้เพื่อนำมาพัฒนาประเทศต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้พัฒนาชุมชนทุกระดับให้มีความเข้มแข็ง สามารถ “อยู่รอด” มีความพอเพียง และนำไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลก็มีการดูแลประชาชนทุกจังหวัดอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการต่าง ๆ และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง พร้อมฝากว่าในการที่จะทำสิ่งใดขอให้ทุกคนคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อน
โดยรัฐบาลได้ให้ความสาคัญกับการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาที่ช่วยเสริมความเข้มแข็งจากภายในและฐานราก ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้ทุกคนในชาติมีภูมิต้านทานต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าชุมชนเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย และเต็มไปด้วยทุนทางทรัพยากร และทุนทางวัฒนธรรม ที่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่าได้อีกมากมาย รัฐบาลจึงได้ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ที่จะพลิกโฉมประเทศให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ
โดยอาศัยฐานความเข้มแข็งภายในประเทศ อันประกอบไปด้วย ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับการท่องเที่ยวชุมชนให้มีคุณภาพและมูลค่าที่สูงขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำเพื่อให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีแสดงความหวังว่า สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ทั้ง 10 ชุมชนนี้ จะเป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ รวมทั้งเป็นต้นแบบให้ชุมชนทั่วประเทศ ได้ศึกษาเรียนรู้ และเกิดการขยายผลต่อไป
สำหรับโครงการคัดเลือก 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบฯ ของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นการดำเนินตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อน Soft power ความเป็นไทย ตลอดจนส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรม มาพัฒนาต่อยอดและภาพลักษณ์ของไทยสู่ระดับนานาชาติ สร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)
รวมถึงแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG โดยนำจุดแข็งของประเทศไทย คือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม มาเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมให้มีมูลค่าสูง วธ.จึงได้จัดโครงการคัดเลือก 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ขึ้นต่อเนื่องจากโครงการชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
ซึ่ง วธ. ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 โดยมีชุมชนทั่วประเทศกว่า 27,000 ชุมชน ซึ่งยึดมั่นในหลักธรรมทางศาสนา ดำรงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมที่ดีงาม บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งชุมชนคุณธรรมฯ หลายชุมชน มีต้นทุนทางวัฒนธรรม มีศักยภาพ และความพร้อมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สามารถพัฒนาต่อยอดได้
วธ. จึงได้ดำเนินการส่งเสริมพัฒนา และยกระดับชุมชนคุณธรรมดังกล่าวสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งทั้ง 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” นี้ จะเป็นต้นแบบให้เกิดการขยายผลไปยังชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป