วันที่ 17 มกราคม 2563 เวลา 10.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เปิดพิธีกิจกรรมการเจรจาและสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างไทย-อินเดีย ที่เมืองเบงกาลูรู วันนี้ ต่อนักธุรกิจผู้นำเข้าอินเดีย และนักธุรกิจผู้ส่งออก ของประเทศไทย รวมทั้งผู้ประกอบการ ว่า การเดินทางครั้งนี้นับเป็นการเดินทางเยือนอินเดียครั้งที่สองของผมภายหลังเข้ารับ ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย ซึ่งย่อมเป็นสิ่งยืนยันแก่ทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดีว่าประเทศไทยรวมถึงตัวผมเองนั้นให้ความสำคัญกับประเทศอินเดียของ ทุกท่านมากเพียงใด และมองอินเดียเป็นมิตรประเทศที่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างกันมากว่า 70 ปี ตลอดจนเป็นพันธมิตรทาง การค้าที่ไทยต้องการเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป
นายจุรินทร์ กล่าวว่า การเดินทางเยือนอินเดียเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น ได้นำคณะผู้แทนการค้าของไทยไปเจรจาการค้า ณ เมืองมุมไบและเจนไน ซึ่งเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าและประสบผลสาเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ที่คาดว่าสามารถสร้างมูลค่าการค้ารวมกันไม่น้อยกวํา 12,000 ล้านบาท จากกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ การลงนาม บันทึกความเข้าใจ (MOU) ตกลงซื้อขายสินค้าเกษตร รวมถึงการเจรจาหารือกับ สมาคมการค้าและผู้นำเข้ารายสำคัญของอินเดียในประเภทธุรกิจต่างๆ
และถึงแม้ปัจจุบันประเทศต่างๆจะได้รับผลกระทบ จากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนไม่มากก็น้อย แตํอินเดีย กลับไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือเศรษฐกิจของ อินเดียพึ่งพาตลาดภายในอันเข้มแข็งจากการบริโภคภายในประเทศ ด้วยจำนวน ประชากรที่มีมากกวํา 1,300 ล้านคน มากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน และ จากรายงาน World Population Prospects 2019 ที่จัดทำโดยองค์การ สหประชาชาติคาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2030 หรือเพียง 10 ปีข้างหน้า อินเดียจะ มีประชากรรวมมากถึง 1,500 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกแซงหน้าจีน และในปี ค.ศ. 2040 อินเดียจะมีประชากรเพิ่มขึ้นถึง 1,590 ล้านคน ดังนั้น คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงหากจะพูดว่า อินเดียจะเป็นพลวัตสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจโลกในทศวรรษใหมํ 2020 และในอนาคตต่อไป
และเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างอินเดียและไทย จะเห็นได้ว่าอินเดียเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 11 ของไทย และเป็นอันดับที่ 1 ในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยในปี 2561 มูลค่าการค้ารวมระหว่างอินเดียและไทยเติบโตเท่ากับ 12,453 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 20.45 จากปีก่อนหน้าและ มูลค่าการค้ารวมของทั้งสองฝ่ายในช่วง 11 เดือนของปี 2562 ยังคงเติบโตได้ถึง 11,311 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมั่นใจอย่างยิ่งว่าการค้าสองฝ่ายยังคงสามารถขยายตัวได้อีกมากในอนาคต
สิ่งพิเศษอีกประการหนึ่งในการเดินทางเยือนอินเดียครั้งนี้ของตนคือ การได้มีโอกาสมาถึงเมืองเบงกาลูรู รัฐกรณาฏกะ ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี สารสนเทศหรือคลัสเตอร์ด้านไอทีของอินเดียที่มีชื่อเสียงในระดับสากล จนได้รับการขนานนามว่า “ซิลลิคอนวัลเลย์แหํงอินเดีย” การเติบโตของอุตสาหกรรมไอที ในเมืองเบงกาลูรูส่งผลให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง รวมถึงการขยายตัวของ ธุรกิจและอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ ไมํวําจะเป็นการกํอสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และการทํองเที่ยว เป็นต้น ซึ่งย่อมสํงผลให้เกิดความ ต้องการสินค้าและบริการอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย อาทิ อาหาร เฟอร์นิเจอร์ ไลฟ์ สไตล์ เครื่องสำอาง เครื่องใช้สำนักงาน ตลอดจนธุรกิจบริการร้านอาหาร และโลจิสติกส์ เป็นต้น ซึ่งเห็นว่าสินค้าส่งออกของไทยสามารถเข้ามาเติมเต็มความ ต้องการของผู้บริโภคอินเดียในแต่ละสาขาได้ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมของ ไทยหลายรายการต่างได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพในระดับสากล และมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นสํวนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมแขนงต่างๆ ของอินเดียได้อย่างครอบคลุมทั่วถึง
“การเดินทางเยือนเมืองเบงกาลูรูในครั้งนี้ ผมได้นำคณะผู้แทนการค้าไทยใน หลากหลายสาขาทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม อาทิ แป้งมันสำปะหลัง ไม้ยางพารา ยางพารา ผลไม้และอาหารแปรรูป วัสดุกํอสร้าง เฟอร์นิเจอร์และวัสดุ ตกแต่งภายใน แฟชั่นและเครื่องสำอาง กระดาษและเครื่องเขียน พลาสติกและปุ๋ย ชีวภาพ เป็นต้น ตลอดจนธุรกิจบริการโลจิสติกส์ รวมกันเกือบ 80 ราย เพื่อ พบปะหารือกับนักธุรกิจสาขาต่างๆ ของอินเดียในเมืองเบงกาลูรูและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมที่กระทรวงพาณิชย์ จัดขึ้นในวันนี้จะเป็นโอกาสสาคัญของทั้งสองฝ่ายในการเจรจาการค้าและสร้าง เครือข่ายธุรกิจระหว่างกัน อันจะนำไปสู่การขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันหรือร่วม ลงทุนดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีโอกาสเป็นประธาน และสักขีพยานในพิธี เปิดตัวร้านค้าออนไลน์ของไทย (TOPTHAI Store) บนเว็บไซต์ Bigbasket.com และ Bigbasket Application ซึ่งจะเป็นร้านค้าออนไลน์ที่รวบรวมสินค้าไทยในกลุ่ม สินค้าอาหาร ผัก ผลไม้ พลาสติก และเครื่องถ้วยชามกระเบื้องหรือเมลามีนบน แพลตฟอร์มของซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ที่ขายสินค้าอาหาร ผลไม้และสินค้าอุปโภค บริโภคขนาดใหญํที่สุดของอินเดีย ซึ่งถือเป็นความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรํวมมือในครั้งนี้จะบังเกิดผลสำเร็จสมตาม เจตนารมณ์ และเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้สินค้าไทยทั้งที่เป็นสินค้าอาหารและสินค้า อุปโภคบริโภคอื่นๆ โดยเฉพาะสินค้าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย ได้มี โอกาสส่งออกสู่ตลาดโลกดังเช่นอินเดียได้เพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต” นายจุรินทร์กล่าว
นอกจากนั้น ตนยังเป็นประธานการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) รวม 3 ฉบับ ระหวํางบริษัทของไทยและอินเดียเพื่อตกลงซื้อขายสินค้ากลุ่มแป้งมันสำปะหลัง แปรรูปและวัสดุก่อสร้าง สินค้าแป้งมันสำปะหลัง โดยเฉพาะแป้งมันสำปะหลังแปรรูปเป็นสินค้าเกษตรสำคัญอีกรายการหนึ่งที่ไทยมีเป้าหมายขยายการค้ากับอินเดีย ให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในหลายอุตสาหกรรมของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอาหาร กระดาษ สิ่งทอ ก่อสร้าง และเภสัชภัณฑ์ เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรภายใต้ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-อินเดียได้อีกด้วย และ ผมได้มอบหมายให้จัดการประชุมโต๊ะกลมและการเจรจาธุรกิจระหวํางผู้ส่งออกของไทยและผู้นาเข้าแป้งมันสำปะหลังของอินเดียในช่วงบํายวันนี้ เพื่อเร่งขยายโอกาสทางการค้าระหว่างกันต่อไป
สำหรับสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างและวัสดุตกแต่งนั้น นับเป็นสินค้าอุตสาหกรรม อีกรายการหนึ่งที่ ประเทศไทยจะมีสํวนช่วยเติมเต็มความต้องการของอินเดียในสาขาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองเบงกาลูรูแห่งนี้ และในชํวงบ่ายของวันนี้ ผมมีความยินดีที่จะเป็นประธาน เปิดกิจกรรมสัมมนาเรื่อง “โอกาสของธุรกิจศักยภาพระหว่างอินเดีย-ไทย: ธุรกิจ บริการโรงแรมและธุรกิจก่อสร้าง” ร่วมกับสภาธุรกิจไทย-อินเดียอีกวาระหนึ่งด้วย
“ผมเชื่อมั่นว่าเครือข่ายธุรกิจที่ทั้งสองฝ่ายได้สร้างขึ้นในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ดีของการติดต่อซื้อขายกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคต ไม่เฉพาะแต่เพียงสินค้า หากยังรวมถึงธุรกิจบริการตํางๆ ด้วย ซึ่งตลาดอินเดียกาลังขยายตัวพร้อมที่ จะรองรับธุรกิจบริการต่างๆ ของไทยที่จะเข้ามาบุกเบิก อาทิ บริการโลจิสติกส์ ขนสํงสินค้า บริการจัดเก็บและกระจายสินค้าเกษตร รวมถึงบริการก่อสร้างและ ตกแต่ง ผมเชื่อมั่นว่าหากทั้งสองฝ่ายได้พันธมิตรทางธุรกิจที่ดี จะสามารถดำเนินธุรกิจรํวมกันได้อย่างราบรื่นประสบความสำเร็จในอนาคต ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมเจรจาการค้าสร้างเครือข่ายธุรกิจที่กำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้านี้จะทำให้คณะ นักธุรกิจอินเดียตระหนักว่า ประเทศไทยมีสินค้าและบริการหลากหลายรายการที่ ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคอินเดีย หรือเป็นส่วนประกอบอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของอินเดียในการผลิตสินค้าแปรรูปและส่งออกไปยังตลาดโลกได้หรือกล่าว อีกนัยหนึ่งได้ว่าไทยและอินเดียคือหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่เกื้อหนุนกัน” นายจุรินทร์ กล่าว ท่ามกลางเสียงปลุกมือของผู้ร่วมโครงการ