แหวกประเพณีการทำข่าว?-สันต์ สะตอแมน

สันต์ สะตอแมน

ระเบียบคือแบบแผนเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย

ฉะนั้น..ข่าวโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.หนองคาย ออกหนังสือประกาศเรื่องเครื่องแบบและการแต่งกายของบุคลากรในโรงพยาบาลให้เรียบร้อย พร้อมมีข้อกำหนด

เช่นห้ามสวมกระโปรงสั้นสูงกว่าเข่าเกิน 1 นิ้ว ไม่ผ่ากระโปรงลึก ไม่คับรัดรูป ให้สวมกางเกงทรงสแล็ก ความยาวระดับตาตุ่ม ไม่คับรัดรูป ห้ามสวมกางเกงยีนส์หรือผ้ายืด

กระโปรงและกางเกงใช้โทนสีสุภาพ อย่างสีดำ สีกรมท่า สีน้ำเงินเข้ม สีกากี สีเทาเข้ม ติดป้ายชื่อโดยหันป้ายชื่อออกให้ชัดเจนตามระเบียบของโรงพยาบาล

ห้ามติดสติกเกอร์ หรือวัสดุอื่นใดบนป้ายชื่อนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาต ทรงผม และใบหน้าสุภาพสตรี ห้ามทำสีผมผิดธรรมชาติ

ห้ามติดกิ๊บหรือที่คาดผมสีฉูดฉาด หรือลายการ์ตูนต่างๆ แต่งหน้าแต่พองาม ไม่ฉูดฉาดผิดธรรมชาติ เช่น ทาปาก ทาตาด้วยสีจัดจ้าน ติดกากเพชร ขนตาปลอม เป็นต้นนั้น

ผมเชื่อ ในมุมผู้บริหาร-คนออกกฎ เจตนาก็เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย งามตา น่าศรัทธาเชื่อถือ มากกว่าที่จะคิดจำกัดสิทธิเสรีภาพ ส่วนใครจะมองเห็นเป็นอื่นก็มีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้

อย่างคุณหมอของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ ที่ได้โพสต์ข้อความ.. “มีดรามาโรงพยาบาลภาคอีสานแห่งหนึ่ง ออกประกาศห้ามคุณหมอแต่งหน้าจัด ทำสีผม

อยากบอกว่าตอนที่ฝึกงานที่ รพ.รัฐแห่งหนึ่งหมอก็เคยโดนแบบนี้เช่นกันค่ะ เคยถูกรุ่นพี่เกือบจะให้ซ้ำวอร์ดทั้งที่คะแนนผ่าน เพราะว่าทาเล็บ และฉีดน้ำหอม ตอนนั้นยังดีที่อาจารย์เข้าใจเลยรอดมาได้

อยากจะบอกว่าความเป็นหมอมันอยู่ที่จริยธรรมและจลรรยาบรรณ ความรับผิดชอบในการดูแลคนไข้ มันไม่ได้อยู่ที่ความยาวหรือสีของผมหรือเครื่องแต่งกาย

ตอนนั้นที่หมอโดนเข้าใจได้ปี 2000 ผ่านไป 22 ปี ปีนี้ 2022 แล้ว ผู้มีอำนาจยังยึดติดกับแค่เรื่องสีผม ชาตินี้กะจะไม่พัฒนาเลยเหรอคะ หรือคุณพี่ขี่ไดโนเสาร์มาทำงาน”

ก็..ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นที่น่ารับฟัง หากทางโรงพยาบาลจะนำไปทบทวน หรือแก้ไขก็ไม่เห็นจะเป็นการเสียหน้า-เสียฟอร์มแต่อย่างใด!

ส่วนในมุมผม เรื่องนี้ไม่มีใครถูก-ใครผิด และไม่เห็นจะต้องเหน็บแนมด้วยคำว่า “หรือคุณพี่ขี่ไดโนเสาร์มาทำงาน” อะไรเลย

เพราะอย่างที่กล่าวแต่ต้น “ระเบียบคือแบบแผนเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย” หากบุคลากรของโรงพยาบาลสามารถปฏิบัติได้ก็เป็นเรื่องที่ดี ประชาชนก็ย่อมจะชื่นชม

แต่หากคิดว่า มันตึงเกินไป ก็พูด-แสดงความคิดเห็นกันภายในได้ ผู้ออกกฎก็คงจะรับฟัง โดยเฉพาะเรื่อง “สีผม” น่าจะยืดหยุ่นกันได้นะ!

ครับ..พูดถึงเรื่องคนอื่นแล้ว คราวนี้มาฟังเสียงจากผู้อ่านที่สะท้อนถึงวิชาชีพของพวกผมบ้าง จะเป็นเรื่องอะไร อ่านแล้วเชื่อคงจะพอเดากันได้

ซึ่งผู้อ่านท่านหนึ่งได้เขียนข้อความสั้นๆส่งทางอีเมล์ถึงผมว่า.. “การที่สื่อมวลชนต้องแข่งขันช่วงชิง มุ่งเสนอข่าวสำคัญเป็นรายแรก นำหน้าสื่ออื่นๆ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ถ้าเสี่ยงตีกิน “จนอ๊อปไซด์” กลายเป็น “การล้ำหน้า” จนถือว่าเสนอข่าวผิด! กลายเป็น Fake news อย่างนี้

ถ้าแค่ออกมาขอโทษ ก็คงไม่มีใครเขาว่า จนกลายเป็นเรื่องน่าอาย เพราะการทำเรื่องพลาด มันเกิดขึ้นได้

แต่แปลกใจตรงที่ แทนที่จะออกมาขอโทษ กลับไปโวยใส่ผู้ตกเป็นข่าว อย่างนี้ผมว่ามันดูแปลก แหวกประเพณี การทำข่าวและไม่น่าเห็นใจเอาซะเลย

ควรทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษกว่านี้ ก่อนที่น้องๆ นักข่าวเวลาลงสนามแล้วไม่มีใครอยากให้สัมภาษณ์ เพราะไม่เชื่อมั่นในองค์กร”

แค่..ฮุคเบาๆก็สะท้าน-สะเทือนไปทั้งตัว นี่ถ้ารัวหมัดหนักๆ อีกนิดมีหวัง..

หน้าหงาย ล้มตึง หัวฟาดพื้น..ชักแหง็กๆ!

Written By
More from pp
King’s Bangkok สร้าง ‘Community of Kindness’ ยกระดับคุณค่าสังคมไทย เปิดตัวภาพยนตร์สร้างสรรค์สังคม ส่งต่อพลังแห่ง ‘คำขอบคุณ’ สร้างสรรค์กิจกรรมการกุศลเพื่อสังคมและชุมชนมาอย่างต่อเนื่องรวมแล้วกว่า 44.8 ล้านบาท
โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ หรือ King’s Bangkok ร่วมแบ่งปันเรื่องราวจริงในโรงเรียน ผ่านภาพยนตร์สร้างสรรค์สังคมที่เล่าเรื่องราวสะท้อนคุณค่าของการขอบคุณกันและกันว่ามีความหมายมากเช่นไร ยกระดับและจุดประกายคุณค่าสังคมไทย สร้าง Community of Kindness พร้อมเป็นต้นแบบแห่งสังคมเปี่ยมเมตตาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่...
Read More
0 replies on “แหวกประเพณีการทำข่าว?-สันต์ สะตอแมน”