เปลว สีเงิน
ก็บอกแล้ว….
“การเมืองไทย” ยิ่งเรื่อง “แลนด์สไลด์” ด้วยแล้ว เข้าตำรา “หมาเห่า” ก็มีแต่หมาด้วยกันเท่านั้นที่ “เห่าตาม”!
ต่างกับ “ราชสีห์”
เพราะราชสีห์ เมื่อยังไม่ถึงเวลาตะปบเหยื่อ จะหมอบ สงบนิ่ง รอจังหวะ ไม่คำรามโฮกฮากให้เหยื่อแตกตื่น
โฮกเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่หมาน่อยธรรมดาเลย ต่อให้วัวควายก็ตายยกคอก!
ฉะนั้น แลราชสีห์ดีกว่า แลหมาเสียลูกตาเปล่าๆ!
นี่ก็ “ราชสีห์การเมือง”
“ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” แค่เยื้องกรายจากราวป่าวานซืน สัตว์เล็ก-สัตว์น้อย ต่างตื่นเตลิด
โดยเฉพาะไฮยีนา-หมาจิ้งจอก หลุบหู-หลุบหาง หลบไปกรอกลูกตาดูท่าทีอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเห่า
นาทีนี้ “ดร.สามสี” คือ “จักรกลข้ามเวลา” นำอุดมการณ์การเมืองเพื่อ “ชาติ-ศาสน์-พระมหากษัตริย์” จากอดีต เชื่อมปัจจุบัน พุ่งสู่อนาคต!
ลาออกจากประชาธิปัตย์เพราะอะไร ออกแล้วจะไปไหน ไปทำอะไร? ถามกันเซงแซ่-สับสน
ความจริงไม่ต้องถาม เพราะดร.ไตรรงค์ “บอกครบ-จบชัด” เพียงแต่อ่านกันแล้ว “ไม่จับประเด็น” กันเท่านั้นเอง
ฉะนั้น ผมจะนำที่ท่านโพสต์เฟซมาให้อ่านละเอียดกันอีกครั้ง ดังนี้
………………………..
ดร.ไตรรงค์ สวุรรณคีรี
#ผมขอมีลมหายใจเป็นของตนเอง #ใส่เสื้อฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย #36 ปี กับพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อ 15:00 น.ของวันนี้ (27 ตุลาคม 2565) ผมได้ให้เลขาส่วนตัวไป #ยื่นใบลาออกจาก “สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์” และทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์แล้วครับ
ผมลาออก #ทั้งๆ ที่ยังรักพรรคประชาธิปัตย์อยู่
แต่ผมไม่ได้รักที่ตัวตึก หรือตัวบุคคล ผมไม่เคยยึดมั่นในสิ่งลวงตาเหล่านั้น
ที่ผมรักก็คือ “อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์” ที่ได้ประกาศไว้ในวันก่อตั้งพรรคเมื่อปี พ.ศ.2489 จึงได้เข้าเป็นสมาชิกมาตลอดเวลา 38 ปี
อย่างไรก็ดี ผมก็ยังเชื่อ “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ที่ทรงสอนว่า
“ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัย”
อุดมการณ์ ปี 2489 ทั้ง 10 ข้อ จึงต้องมีการปรับปรุงให้เข้ากับยุค ให้เข้ากับบริบทใหม่ๆ ของประเทศ และของโลก
ที่สำคัญที่สุด ก็คือ….
“เพื่อล้อมกรอบมิให้ผู้บริหารหรือสมาชิกแสดงท่าทีที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในอุดมการณ์” เช่น ต้องไม่มีใครมีท่าทีทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า
“พรรคฯ ตั้งตัวเป็นศัตรูกับทหารของชาติ”
เพราะ “ทหารในปัจจุบัน” แตกต่างไม่เหมือนกับ “ทหารสมัยก่อน” แล้ว
ส่วน “ศัตรูของอุดมการณ์” ต้องเขียนใหม่ให้ชัดว่า
ไม่ใช่เฉพาะ “เผด็จการทหาร” แต่หมายรวมถึง “เผด็จการรัฐสภา” ด้วย
และใน “นโยบายต่างประเทศ” ต้องเขียนใหม่ให้ชัดว่า “เราจะเป็นมิตรกับทุกประเทศ แม้ว่าระบอบการเมืองการปกครองจะแตกต่างจากของของเราที่กำลังใช้อยู่” เป็นต้น
แต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อ…
ไม่ให้ “อธิปไตยของชาติ” ต้องถูกครอบงำโดยประเทศอื่นอย่างเด็ดขาด
ซึ่งทั้งหมดนี้…..
ผมได้พูดให้สมาชิกและผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ฟังโดยละเอียดแล้ว เมื่อ 19 มีนาคม 2565 ที่โรงแรม Kantary Hill จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งก็ดูเหมือนว่า พรรคฯ ก็ได้พยายามปรับปรุงจุดยืนและท่าทีคล้ายๆ อย่างที่ผมเคยแนะนำไว้อยู่บ้าง คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์
แต่ก็ยังมีพรรคการเมืองอื่น ๆ อีกหลายพรรคที่มีจุดยืนด้าน “อุดมการณ์” ที่ตรงกับใจของผม ที่ผมอยากสนับสนุน
โดยเฉพาะมีอยู่ “หลายพรรค” ที่เกิดใหม่….
จากคนที่ต้องออกจาก “พรรคประชาธิปัตย์” ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถจะบอกใครได้ (เพราะเกรงใจกัน)
แต่เมื่อไปตั้งพรรคใหม่ขึ้นมา ก็ได้มีการประกาศจุดยืนแห่งอุดมการณ์พร้อมมีนโยบายปฏิรูปหลายประการ
เหล่านี้ ทำให้ “ผมเห็นด้วย” และ “อยากสนับสนุน”
ผมจึง #อยากขอโอกาสมีลมหายใจเป็นของตนเองสักครั้งหนึ่งในบั้นปลายชีวิตทางการเมืองของผม
เพื่อจะได้สนับสนุน “พรรคการเมืองใหม่ๆ” (ที่ใหม่กว่าพรรคประชาธิปัตย์)
การแสดงออกจะได้สามารถทำได้อย่างเปิดเผย จะได้ไม่รู้สึกว่าผม “แอบเป็นกบฏลับๆ” ต่อพรรคประชาธิปัตย์ เพราะผมยังรักและสนับสนุนอุดมการณ์ประชาธิปัตย์
แต่ก็จะสนับสนุนพรรคการเมืองอื่นๆ “ทุกพรรค” ที่ผมเห็นด้วยกับอุดมการณ์และนโยบาย
จะยินดีให้ความช่วยเหลือตามที่ถูกร้องขอ “โดยไม่หวังผลอะไร” เป็นการตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าแก่แล้ว
#หมายเหตุ จนถึงปัจจุบันนี้ ได้มีพรรคการเมืองใหม่ๆ มาขอคำปรึกษาไปแล้วถึง 5 พรรคครับ
ส่วนการสนับสนุนช่วยเหลือหลายๆ พรรค ควรจะทำอย่างไรนั้น มันเป็นศิลปะที่ผมเรียนรู้มา และจะลองนำมาปฏิบัติดูในรูปแบบที่ว่า
#ต้องรวมมิตร และแยกศัตรูในเชิงอุดมการณ์ให้ชัดเจน
ถ้าได้ผล ก็ดี, ถ้าไม่ได้ผล ก็ไม่เป็นไร, เพราะผมยึดถือคำว่า #สันโดษ
ตาม “ภาษาพระ” ที่สันโดษแปลว่า “ได้ก็ดี-ไม่ได้ก็ได้” (ไม่ใช่ตามภาษาคนที่หมายถึงการอยู่คนเดียว)
และผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จึงไม่คิดว่าทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเสียหาย เพราะพรรคฯเขามีบุคลากรมากอยู่แล้ว
ส่วนมากก็มีความสามารถตามความเห็นของผู้บริหาร และผมก็ไม่เคยจะทำร้ายพรรคฯ หรือพูดจาใดๆ ให้พรรคฯต้องเสียหายและเสียน้ำใจกัน
อย่างไรก็ดี……
ผมก็ยังคงต่อต้าน และปฏิเสธทั้งพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่ใช้โวหารแบบปลิ้นปล้อน โกหกตอแหล ใส่ความ หลอกลวง หน้าอย่าง-หลังอย่าง
เป็นพวกเล่นการเมืองเพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ของชาติที่ควรจะเป็นผลประโยชน์สูงสุด
เพราะผมเห็นว่า…..
คนเช่นนี้ ลงมาเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก โดยการอ้างชาติและประชาธิปไตยเพื่อเป็นการบังหน้าและให้ประชาชนหลงผิดในสาระสำคัญเท่านั้น
โดยเนื้อแท้แล้ว….
คนเช่นนี้ เป็นพวกที่ “พร้อมจะขายชาติ” เพื่อแลกเงิน พร้อมจะทำลายและบิดเบือนคำสอนอันเป็นหัวใจของศาสนาต่างๆ เพียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียง “จากคนที่โง่ๆ”
ตลอดจนเป็นพวกที่พร้อมจะ “ทำลายสถาบัน” พระมหากษัตริย์ (ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง)
เพื่อเปลี่ยนระบบ “การเมืองการปกครองของประเทศ” ให้เป็น “ระบอบสาธารณรัฐ” ที่มี “ประธานาธิบดี” เป็นประมุข
ซึ่งเป็นระบบที่แสนจะไม่เหมาะกับบริบทและประวัติศาสตร์ของชาติไทย
หากแต่จะนำมาซึ่งความแตกแยกที่รุนแรง ศีลธรรมจะตกต่ำ การไร้ยางอายในการทำชั่วจะมีมากขึ้น เหมือนอย่างหลายประเทศ ทั้งในเอเชียและในละตินอเมริกา
เพราะผมเห็นว่า #อธิปไตยและเอกราชของชาติ อาจจะเกิดความเสียหายได้
ถ้าประเทศต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของนักการเมืองที่มีคุณสมบัติเลวๆ ดังกล่าวข้างต้น
ก็โดยที่นักการเมืองอย่างนั้น จะเป็นคนที่เห็นแก่ลาภ (เงิน) ยศ และสรรเสริญ ของตนเองและพรรคพวก มากกว่าเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศชาติ
ที่พูดเช่นนี้ ก็เพราะได้เห็นตัวอย่างมาแล้วว่า ครั้งหนึ่งพวกเขาได้เคย “แอบทำการตกลงลับๆ” ที่จะอนุญาตให้ “มหาอำนาจ” บางประเทศ มาตั้งฐานทัพในประเทศ
เพื่อจะได้ “สะสมอาวุธ”ไ ว้ข่มขู่บางประเทศ ที่พวกเขาแย่งชิงความยิ่งใหญ่ “ในการเป็นเจ้าโลก” กันอยู่ในปัจจุบันนี้
โชคดี ที่เรามี “สถาบันพระมหากษัตริย์”….
มีคณะองคมนตรีและมีสถาบันกองทัพทั้ง 3 เหล่า เป็น “เกราะกำบัง” ให้ ประเทศของเรา จึงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเหมือนประเทศยูเครน อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบัน
ปล.ผู้ที่แอบทำความตกลงลับๆ (MOU) ดังกล่าว บางคนได้เสียชีวิตไปแล้ว ขอให้ทุกคนจงอโหสิ เพราะไม่มี “ทาน” ใดๆ จะได้บุญเท่ากับ “อภัยทาน”
ผมไม่ได้พูด แต่ “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ของเราได้ตรัสไว้เช่นนั้นครับ
#หมายเหตุ ผมยังคงเป็นมิตรที่ดีของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ “เฉพาะที่เป็นคนดี” อยู่เหมือนเดิมทุกประการ โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงครับ
แต่ขอให้ทุกคนโปรดทราบเจตนาบริสุทธิ์ของผมว่า
การลาออกในครั้งนี้ ….
ก็เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการประสานกับพรรคการเมืองอื่น ๆ
จะได้มีพลังและมีประสิทธิภาพมากขึ้น “ในการเคลื่อนไหวแบบเงียบๆ” เพื่อจะได้ตะล่อมให้บ้านเมืองเดินหน้าไปในทิศทางที่ผมเห็นว่าน่าจะปลอดภัยที่สุด
โดยที่ผมไม่หวังอะไรเป็นการตอบแทนโดยส่วนตัวเลย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดๆ
ซึ่งผมเคยแจ้งความในใจส่วนนี้ให้ “คุณจุรินทร์” หัวหน้าพรรค และ “คุณนิพนธ์” รองหัวหน้าพรรค ทราบแล้ว
เมื่อตอนที่ท่านทั้งสองมาเยี่ยมผมที่บ้านพักหลังการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสงขลาและชุมพรครับ
—————————-
สรุป ดร.ไตรรงค์ลาออก….
ก็เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการประสานกับพรรคการเมืองอื่น ๆ
จะได้มีพลังและมีประสิทธิภาพมากขึ้น “ในการเคลื่อนไหวแบบเงียบๆ” เพื่อจะได้ตะล่อมให้บ้านเมืองเดินหน้าไปในทิศทางที่ผมเห็นว่าน่าจะปลอดภัยที่สุด
วันนี้… “ดร.ไตรรงค์” อดีตเลขาฯ ส่วนตัวดร.ป๋วย, ที่ปรึกษาข้างตัวป๋าเปรม “สู่ปัจจุบัน” เพื่อ “อนาคตชาติ” อีกครั้งในฐานะ “ที่ปรึกษา”
จะ “ของลุง” หรือ “ของใคร”?
ต้องให้บอกมั้ยเนี่ย!
เปลว สีเงิน
๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๕