ผักกาดหอม
เรื่องนายกฯ ๘ ปี คงต้องรออีกสักระยะ กว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา
จากที่ฟังคำแถลงข่าววานนี้ (๗ กันยายน) ของ “เชาวนะ ไตรมาศ” เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จับใจความได้ว่า การประชุมของศาลวันนี้กระบวนการยังไม่ถึงขั้นลงมติ
เป็นเพียงการดูข้อมูลหลักฐานจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มีความเพียงพอที่จะพิจารณาและเพียงพอที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยต่อไปได้หรือไม่เท่านั้น
ยังไม่มีเงื่อนไขของการนัดเวลาที่จะอ่านคำวินิจฉัย
เพราะระดับขั้นตอนที่ศาลต้องพิจารณาจะมีการอภิปราย หากไม่พอศาลจะต้องขอหลักฐานเพิ่มเติมตามที่กฎหมายกำหนด จากพยานบุคคล หน่วยงานราชการ หรือพนักงานสอบสวน มากระทำหรือให้การที่เป็นประโยชน์ต่อศาล
และดำเนินขั้นตอนไต่สวน
นี่คือลำดับขั้นตอนการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ
ฉะนั้น รอศาลท่านนัดฟังคำวินิจฉัยอีกทีครับ น่าจะเร็วๆ นี้
เอกสาร “มีชัย ฤชุพันธุ์” หลุดไม่ทันไร คำชี้แจงของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หลุดตาม มันก็เหมือนดาบสองคม คนที่เข้าใจก็แล้วไป แต่คนที่ไม่เข้าใจแล้วเอาไปเป็นเหตุถล่มศาลรัฐธรรมนูญในภายหลังมันเกิดขึ้นแน่นอน
คำชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ต้องลงลึกในข้อกฎหมาย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างเป็นอิสระ
แต่มีประเด็นที่ต้องพูดถึงคือ เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ กำหนดให้มีวาระไม่เกิน ๘ ปี เพื่อป้องกันการผูกขาดอำนาจ ซึ่งจะเป็นต้นเหตุของวิกฤตทางการเมืองได้นั้น
เอกสาร พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า
…ข้าพเจ้าเชื่อเช่นกันว่าคนที่มีอำนาจเด็ดขาดจะทำให้ผู้นั้นทุจริตได้อย่างไม่มีข้อจำกัดถ้าปล่อยให้มีคนที่มีอำนาจโดยเด็ดขาดเป็นระยะเวลายาวนานเกินไป ก็เท่ากับปล่อยให้ผู้นั้นสามารถทุจริตโดยไม่มีข้อจำกัด
และข้าพเจ้าเชื่อเช่นกันอีกด้วยว่าคนที่มีอำนาจเหนือคนอื่น มีแนวโน้มที่จะทุจริตหรือใช้อำนาจในทางที่มิชอบได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าเป็นอำนาจในการเป็นผู้นำประเทศก็ย่อมมีโอกาสก่อผลเสียต่อประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ของประเทศชาติอย่างรุนแรงได้
และเมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศหรือสาธารณะจะต้องตกเป็นผู้รับผลร้ายนั้นในที่สุด ดังเช่นที่มีตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมในประเทศของเราเมื่อไม่นานมานี้
ข้าพเจ้าจึงยึดมั่นที่จะใช้อำนาจการเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ของประเทศชาติสูงสุด เพื่อมิให้เกิดผลร้ายแก่ประชาชนเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วในประเทศของเราเมื่อไม่นานมานี้
อีกทั้งข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า ไม่ว่าข้าพเจ้าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นระยะเวลาเท่าใดก็ตาม แต่ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่เคยใช้อำนาจการเป็นผู้นำประเทศหรืออำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตัวข้าพเจ้าเอง หรือของวงศาคณาญาติ หรือของพวกพ้อง และไม่เคยแม้แต่จะคิดช่วยเหลือหรือสนับสนุนให้ผู้ที่เคยเป็นผู้นำประเทศที่มีลักษณะเช่นที่ผู้ร้องยกขึ้นกล่าว หรือวงศาคณาญาติของผู้นั้นที่เคยทำความเสียหายให้ประเทศหรือประโยชน์สาธารณะของประชาชนชาวไทย กลับมามีอำนาจหรือกลับมาเป็นผู้นำประเทศเพื่อใช้อำนาจในการเป็นผู้นำประเทศซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในประเทศก่อผลเสียต่อประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ของประเทศชาติอย่างรุนแรงได้อีก…
คำชี้แจงนี้ทำให้เห็นข้อเท็จจริงการเมืองไทยอยู่เรื่องหนึ่งนั่นคือ นายกฯ ไม่ต้องมีอำนาจถึง ๘ ปี ก็โกงได้ หากไม่โกงเองก็ปล่อยให้บริวารโกง
ทักษิณ เกือบ ๖ ปี
ยิ่งลักษณ์ ไม่กี่วันครบ ๓ ปี
ด้วยเวลาแค่นี้ ถูกขนานนามว่ารัฐบาลโคตรโกง และในความจริงโกงตั้งแต่ปีแรกๆ ด้วยซ้ำ
ที่ติดคุกอยู่ใช่ทั้งนั้นไม่มีใครแกล้ง
แล้วพวกที่เหลืออยู่นอกคุกสำนึกกันบ้างหรือไม่
ไม่มีคำขอโทษให้ประชาชนสักคำ
ครับ…เรื่องนายกฯ ๘ ปี รอได้ครับ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
แต่บางเรื่องคนกรุงเริ่มจะรอไม่ได้แล้ว
น้ำท่วม รถติด ใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ ใครต้องรับผิดชอบ
รัฐบาล
ผู้ว่าฯ กทม.
หรือว่าเทวดา
จับความเคลื่อนไหวในโซเชียล ดูเหมือนว่าแตกเป็น ๒ ฝ่าย
คือฝ่ายเชียร์ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ไม่แฮปปี้กับรัฐบาล
กับฝ่ายชาลเลนจ์ผู้ว่าฯ ชัชชาติ
ไม่มีใครโทษ พระพิรุณ สักคน
มีปรากฏการณ์แปลกๆ นับแต่ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” เป็นผู้ว่าฯ กทม. คือ มีความเข้าใจสภาพปัญหา สภาพสังคม รวมถึงสภาพดินฟ้าอากาศมากขึ้น
จากเดิมสมัยผู้ว่าอัศวิน เรื่องเดียวกันนี้ ถูกด่าเป็นหมูเป็นหมาตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ
ฝนตก น้ำท่วม รถติด วันนี้ ผู้คนมีความเข้าใจในธรรมชาติกว่าแต่ก่อนมาก นับเป็นนิมิตหมายที่ดีครับ
ธรรมชาติกรุงเทพฯ คือ เป็นพื้นที่ที่มีระดับต่ำกว่าน้ำทะเลปานกลางในหลายเขต เมื่อไหร่ที่ฝนตกเยอะเกินไปจะเกิดน้ำท่วมขัง รอระบาย มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว
บทบาทของผู้ว่าฯ กทม. แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
มีตั้งแต่นั่งบัญชาการในห้องแอร์อย่างเดียว บางคนลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาแล้วกลับไปสั่งลูกน้อง
ยันผู้ว่าฯ ล้วงท่อ ผู้ว่าฯ เข็นรถหนีน้ำท่วม
สารพัดครับ
แต่บทสรุปคือ ไม่มีผู้ว่าฯ กทม.คนไหนสู้กับน้ำท่วมกรุงได้
เพราะปัญหานี้ ไม่ได้แก้กันง่ายๆ
ฉะนั้นความเข้าใจของประชาชนจึงมีส่วนสำคัญ ต่อการแก้ไขปัญหา
เห็นผู้ว่าฯ ชัชชาติ บ่นว่า “เมื่อคืนวันที่ ๖ กันยายน เป็นคืนที่หนักหน่วง เรียกได้ว่าหนักที่สุด และปริมาณน้ำฝนมากอย่างที่คาดการณ์”
ก็จริงตามนั้นครับ ต่อให้มีร้อยชัชชาติ แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีกว่าเดิมอีกล้านเท่า ก็ไม่มีทางต้านสายฝนที่กระหน่้ำเมืองกรุงได้
มันหนักหน่วงจริงๆ
เช่นเดียวกับผู้ว่าฯ กทม.ในอดีตหลายๆ คนเจอมาก่อน บางปีหนักกว่าปีนี้ครับ ก็โดนกระหน่ำเสียเละเทะ ไม่มีชิ้นดี
ที่เละเทะไม่ใช่ กทม. แต่เป็นผู้ว่าฯ กทม.
ก็เหมือนกับที่รัฐบาลประยุทธ์ สู้กับโควิด-๑๙ นั่นแหละครับ
มันไม่ได้ง่าย เพราะโควิดคือภัยระดับโลก
เป็นวิกฤตของมวลมนุษยชาติ
หน้าไหนมาเป็นรัฐบาลแล้วบอกว่าเก่งกล้าสามารถสู้กับโควิดได้ รู้ไว้เถอะครับ ขี้โม้ทั้งนั้น
ฉะนั้นเรื่องน้ำท่วมกรุงอย่าเพิ่งด่า “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” ต้องให้เวลาครับ เพิ่งเป็นมาแค่ ๓ เดือน ยังทำอะไรได้ไม่มากหรอกครับ
เพียงแต่ “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” ต้องมีแนวทางแก้ปัญหาให้ชาวบ้านชาวช่องเขาเห็นเสียหน่อย จะได้ประเมินกันถูกว่า ในเบื้องต้นต้องพึ่งพาตัวเองอย่างไรก่อน
วันก่อน รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เตือนว่าอาจมีพายุเข้าไทยอีก ๒-๓ ลูก
จะเกิดฝน ๑๐๐ ปี!
สถานการณ์จะไม่ต่างจากกรุงโซล เกาหลีใต้ ก่อนหน้านี้
“ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” ต้องมีแผนแล้วว่าจะรับมืออย่างไร ให้คนกรุงเดือดร้อนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทำให้ดีกว่าเมื่อคราวกรุงเทพฯ เจอฝนพันปีสมัยผู้ว่าฯ จำลอง ศรีเมือง ได้หรือไม่ เพราะสมัยนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มีทวิตเตอร์ ไม่มีช่องทางการสื่อสารกับประชาชนที่ฉับไว นอกจากประกาศทางทีวี และวิทยุ เท่านั้น
ที่คนกรุงเขาติดใจคือ ก่อนเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เคยบอกว่า “เราลงพื้นที่ต่อเนื่อง เห็นปัญหาชัดเจน เป็นความจริง (Realistic) คงจะตอบปัญหาจริงๆ คิดว่านี่คือจุดแข็งแรง ๒ ปีมานี้มีคนมาช่วยจำนวนมาก”
แต่วันนี้ดูราวกับว่ายังจับต้นชนปลายไม่ถูก