ผสมโรง
สันต์ สะตอแมน
สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ก่อตั้งปี 2534..
ก็..ไม่ได้จะเท้าความอะไรหรอก เพียงแค่จะบอก ตั้งแต่เกิด “องค์กร” นี้ ก็ได้มีการมอบรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ หรือ “รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ” ขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยร่วมกับ คณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย กรมประชาสัมพันธ์ (ยุคนั้น) ตามนโยบายรัฐบาล..
เพื่อการสนับสนุน ส่งเสริม ยกย่อง เชิดชูผู้มีผลงานดีเด่นแต่ละสาขาในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย!
และแม้ต่อมา..ปี 2553 ได้มีการรวบรวมสมาคมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ทั้งสิ้น 20 สมาคมมาอยู่ในองค์กรเดียว และได้เปลี่ยนชื่อจากสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ..
เป็น “สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ” การแจก-มอบรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติก็ยังคงจัดติดต่อกันมาทุกปีไม่เคยว่างเว้น!
ซึ่งแต่ละปีก็ไม่เคยมีการแก้ไข-เปลี่ยนแปลงกฏ-กติกาให้เกิดความขัดแย้ง หรือถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์ภายในองค์กรมาก่อน
เพิ่งจะครั้งนี้ ในยุคที่คุณสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ เป็นประธาน ได้มีความคิดที่จะตั้งกฎกติกาขึ้นมาใหม่..ความขัดแย้งในองค์กรจึงเกิดขึ้น!
ผม..ในฐานะ (เคย) มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์ฯอยู่บ้าง ก็พอจะเข้าใจ และเดาได้ใน “เจตนา” ว่าที่เปลี่ยนกฎ-กติกานั้น
แท้จริงน่าจะเกิดจากความวิตกกังวล..ขืนแจกรางวัลให้กับหนังที่คนไม่ได้ดูอยู่ทุกๆปีก็ยิ่งจะทำให้หนังไทยถูกมอง..
นี่หรือหนังไทยที่ได้รางวัล ไม่เห็นจะมีคนดู ไม่เห็นจะดีตรงไหน (ในสายตาคนทั่วไป) และเมื่อคนไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ก็พาลที่จะไม่ดูหนังไทยเอา
ขณะเดียวกันผมก็ให้เข้าใจ-เห็นใจฝ่ายผู้กำกับภาพยนตร์ เพราะในเมื่อผู้กำกับก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร พวกเขาก็ต้องมีสิทธิ์ที่เท่าเทียม..ไม่ว่าผลงานจะได้ฉายกี่รอบกี่โรง รายได้กี่ร้อยกี่พัน..
หนังของเขาก็สามารถที่จะส่งเข้าชิงรางวัลได้เช่นกัน!
ฉะนั้น..ในความเห็นผม สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์ฯน่าจะใช้วิธี “จัดประเภทหนัง” เพื่อประกาศมอบรางวัลให้ชัดเจนจะดีกว่ามั้ย?
หมายถึงแบ่ง-แยกรางวัล..หนังอินดี้ก็ประเภทหนึ่ง หนังในกระแสก็ประเภทหนึ่ง อย่างนี้จะได้ไม่ต้องกังวลกับความรู้สึกประชาชนคนดูหนัง ที่จะตั้งข้อสงสัย..หนังอะไร ทำไมได้รางวัล?
และนอกจากจะเป็นการยกย่อง เชิดชู ให้เกียรติต่อคนทำหนังอย่างเท่าเทียม ยังจะเป็นการช่วยพัฒนาศักยภาพของวงการหนังไทยอย่างแท้จริง!
ขนาดรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน เป็นองค์กรระดับ “สมาพันธ์ฯ” แต่หนังไทยก็แทบจะเอาตัวไม่รอด แล้วยิ่งมา “แตกแยก” กับแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็เกรงว่า จะพากันตายเปล่าๆ..
เพลาๆ ความขัดแย้งกันลงเสียบ้างเถอะ ลำพังปัญหาชาติบ้านเมือง ก็..
ยุ่งตายห่าแล้ว!