ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัววันนี้ (22 มิ.ย.) ถึงการร่วมหารือกับ นายชวน ชูจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. และทีมเศรษฐกิจฐานรากของพรรคฯ เกี่ยวกับภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบางมากในช่วงนี้เนื่องจากไทยกำลังเจอกับวิกฤติเชิงซ้อน เงินเฟ้อ ของแพง ประชาชนมีรายได้ลดลงและคงที่ การแก้ไขเศรษฐกิจที่ระดับมหภาคไม่เพียงพอต้องให้ความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจฐานราก จึงจะนำไปสู่การฟื้นตัวทางเพราะหากล้ม เศรษฐกิจไทยก็ยากที่จะเติบโตได้อย่างเข็มแข็ง ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐจะเร่งดำเนินการ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนเพื่อเร่งแก้และตอบโจทย์ปัญหาให้เศรษฐกิจฐานรากและชุมชนอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ระบบเศรษฐกิจฐานรากซึ่งเป็นเศรษฐกิจแนวราบส่งผลและสร้างความสัมพันธ์ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างผู้คนในชุมชนท้องถิ่น มิใช่เศรษฐกิจแนวดิ่งแบบปัจเจก เศรษฐกิจฐานรากสามารถทำให้เกิดความร่วมมือ เกิดโอกาสและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเศรษฐกิจร่วมของชุมชนกับเศรษฐกิจของปัจเจก เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนสร้างความสัมพันธ์ ทั้งในชุมชนท้องถิ่นและในระดับที่กว้างขวางอื่น ๆ และภายนอก
ศ.ดร.นฤมล ชี้ให้เห็นว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง ต้องมองแบบองค์รวม ในทุกมิติ ซึ่งพบว่ากลุ่มคน 40% ของประชากรไทย หรือ 26.9 ล้านคนมีรายได้ไม่เกิน 5,344 บาทต่อคนต่อเดือน และส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้เป็นเกษตรกร ดังนั้นภาคเกษตรยังถือเป็นแหล่งสร้างงานอันดับ 1 ของประเทศ ประมาณ 34 % ของแรงงานไทยมีอาชีพเกษตรกรรมซึ่งถือเป็นรากฐานของประเทศไทย แต่รายได้ภาคการเกษตรมีสัดส่วนเพียง 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) โครงสร้างแบบนี้ สะท้อนว่าคนส่วนใหญ่ที่ฐานรากของประเทศติดอยู่ในกับดักความยากจน ผลตอบแทนไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ทำให้มีปัญหาหนี้สิน ตามมาด้วยปัญหาในครัวเรือนและสังคม
“หากจะปฏิรูปเศรษฐกิจไทย ต้องกล้ารื้อที่ฐานราก ต้องกล้าตั้งเป้าหมายว่าเกษตรกรไทยต้องพ้นกับดักความยากจน เริ่มที่ต้องกล้าตั้งเป้าลดสัดส่วนคนในภาคการเกษตร โยกคนประมาณร้อยละ 10 ไปในอุตสาหกรรมที่รายได้สูงกว่าพร้อมแผนปรับทักษะ ถึงแม้จำนวนคนในภาคการเกษตรลดลง จะไม่เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหาร ถ้าเราใช้เทคโนโลยีเข้าไปช่วยเพิ่มผลผลิต ต่อยอดด้วยนวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตร และยึดโยงเข้ากับเศรษฐกิจฐานราก และหัวใจสำคัญ ต้องใช้การตลาดนำการผลิต ไม่ใช่ปล่อยให้ผลผลิตออกมาเหมือนกันและพร้อมกัน เกินความต้องการของตลาด ทำให้ราคาต่ำ ไม่คุ้มต้นทุน แล้วมารอแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ด้วยการชดเชยเยียวยาในรูปแบบการประกันราคาหรือการจำนำ ซึ่งสิ้นเปลืองมาก” ศ.ดร.นฤมล กล่าว