๒ มิถุนายนย ๒๕๖๕ ทีมกฎหมายพรรคไทยภักดี นำโดยนายธนุ สุขบำเพิง รองหัวหน้าพรรค, ดร. ภัทรพล หมดมลทิน ประธานเครือข่ายศาสนาและคุณธรรม พรรคไทยภักดี และนายธีรพงศ์ สิทธา ตัวแทนไทยภักดี จ.นครศรีธรรมราช พานางสาวณัฐิยา ศาสนาภาพ ผู้ช่วยนักจัดการงานทั่วไปกองท่องเที่ยวและกีฬา อบจ.นครศรีธรรมราช ยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรณีถูก นายยุทธการ รัตนมาศ นายกสมาคมกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช และรองนายก อบจ.นครศรีธรรมราช ในข้อหาทำร้ายร่างกาย ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ในช่วงเวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. มีผู้ฝึกสอนนักกีฬาได้ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเบี้ยเลี้ยง ๒๐ บาทต่อวัน ในกลุ่ม “ประเทศคอน” ของจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเหตุทำให้วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. นางณัฐิยา ถูกนายยุทธการ รองนายก อบจ.นครศรีธรรมราช ทำร้ายร่างกายด้วยการชก ๒ ครั้ง ทำให้ดั้งจมูกหัก เลือดไหลเต็มใบหน้า และเบ้าตาบวมช้ำอย่างหนัก
ทั้งยังถูกขังหน่วงเหนี่ยวปราศจากอิสรภาพ รวมทั้งถูกข่มขู่คุกคามว่าจะยิงให้ตายทำให้เกิดความหวาดกลัว เหตุเกิดภายในห้องทำงานรองนาย อบจ. นครศรีธรรมราช หลังเกิดเหตุได้เดินทางเขารับการตรวจรักษาที่ รพ.มหาราช
ซึ่งนายแพทย์วรวิช บุณยเกียรติ ได้ออกใบรับรองแพทย์ระบุว่า “ดั้งจมูกหัก” ต้องหยุดพักรักษาตัวตั้งแต่ ๒๔-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ และแพทย์ได้นัดไปเขารับการผ่าตัดดั้งจมูกในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕ นี้
ต่อมา ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ให้ดำเนินคดีผู้ก่อเหตุ ในฐานความผิดทำร้ายร่างกายและกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่คดีดังกล่าวกลับไม่มีความคืบหน้า โดยมี พ.ต.อ.ประภัสสร ชาติพรหม รองผบก.กองสวัสดิการ สำนักงานกำลังพล นายตำรวจเวรอำนวยการ เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ
น.ส.ณัฐิยา เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุได้เรียกตนไปต่อว่าและกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการโพสต์ และถูกทำร้ายด้วยการต่อยหน้าจนเลือดอาบจมูกแตก บังคับให้ติดต่อผู้โพสต์ให้ลบโพสต์ ล็อกประตูไม่ให้ใครเข้ามา
โดยตนเองพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านนอก และยังถูกต่อยซ้ำ พร้อมทั้งข่มขู่หากพบที่ไหนจะใช้อาวุธปืนยิง ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่ อบจ.ชายพยายามมาเคาะประตูจนว่าที่ ร.ท.ยุทธการ ไปเปิดประตู ซึ่งในวันดังกล่าวมีพยานแวดล้อมอยู่ด้วยประมาณ ๒-๓ คน
ต่อมาได้เข้าแจ้งความกับตำรวจที่สภ.เมืองนครศรีธรรมราชและได้มีการนัดหมายเข้าไปชี้จุดเกิดเหตุภายในสำนักงานอบจ. นครศรีธรรมราช พร้อมทั้งได้ขอสำเนาบันทึกแจ้งความและบันทึกประจำวันของคดีดังกล่าว เพื่อใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการเอาผิดกับผู้ก่อเหตุ
โดยเมื่อถึงวันนัดหมายเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่สามารถพาเข้าไปชี้จุดเกิดเหตุได้เนื่องจากทางชุดสืบสวนสอบสวนในคดียังไม่ได้ทำเรื่องเข้าไปที่อบจ.นครศรีธรรมราช เพื่อขออนุญาตเข้าไปชี้จุดเกิดเหตุ จึงทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ และทำให้การดำเนินการด้านคดีล่าช้า และมองว่าอาจเป็นเพราะอิทธิพลของผู้ก่อเหตุจึงทำให้คดีดังกล่าวไม่มีความคืบหน้า
อีกทั้งเมื่อตนเองขอบันทึกประจำวันและเอกสารบางอย่างในคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่มอบให้ โดยอ้างว่ามีสิทธิ์ที่จะให้หรือไม่ให้ก็ได้
น.ส.ณัฐิยา เปิดเผยว่า อีกทั้งเมื่อตรวจสอบไปว่ามีการเรียกสอบพยานแวดล้อมหรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ไปแล้วกี่ปากกับปรากฏว่ายังไม่มีการเรียกสอบปากคำผู้ใดซึ่งเสี่ยงต่อการที่พยานแวดล้อมอาจถูกข่มขู่จนทำให้รูปคดีเสียหายและตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
ประกอบกับในปัจจุบันตนเองและครอบครัวอยู่ในภาวะหวาดกลัวอิทธิพลของผู้ก่อเหตุเพราะเคยทราบข่าวว่าผู้ก่อเหตุเคยมีพฤติการณ์ในลักษณะใกล้เคียงกันภายในสำนักงานอบจ.นครศรีธรรมราชกับสื่อมวลชนรายหนึ่งจนเป็นข่าวไปก่อนหน้านี้ จึงต้องการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และเร่งรัดให้คดีมีการสืบสวนสอบสวนอย่างรวดเร็วมากขึ้น
ที่ผ่านมา ผู้ก่อเหตุได้พยายามติดต่อไกล่เกลี่ยกับตนเองหลายครั้งแต่ด้วยความหวาดกลัวจึงทำให้ไม่กล้ารับโทรศัพท์ของกลุ่มบุคคลใด กระทั่งล่าสุดเมื่อวานนี้น้องชายของตนเองได้รับการติดต่อจากผู้ก่อเหตุว่าจะขอเจรจาไกล่เกลี่ยและเยียวยาเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ตนเองยังอยู่ในภาวะหวาดกลัวและยังไม่พร้อมที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยใดๆ อีกทั้งต้องการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด เนื่องจากมองว่าเป็นการกระทำที่คุกคามต่อข้าราชการในพื้นที่
ด้าน ดร.ภัทรพล กล่าวว่า ทางพรรคไทยภักดีเข้ามาช่วยดูแลผู้ร้องทุกข์ ซึ่งเป็นผู้บาดเจ็บหญิงที่แพทย์ลงความเห็นว่าอาจถึงขั้นต้องทำการผ่าตัด และหยุดงาน ๑-๒ เดือน พร้อมฝากไปยังข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่าไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจหรือผู้บังคับบัญชาก็ดีไม่ควรใช้กำลังประทุษร้าย โดยเฉพาะกับเพศแม่หรือผู้หญิงให้ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ การดำเนินคดีแม้ว่าจะได้รับการไกล่เกลี่ยมาตลอดตั้งแต่ ๒๖ พฤษภาคม จนถึงเมื่อวาน
แต่ผู้เสียหายก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นแบบอย่างและเป็นบรรทัดฐานให้กับประชาชนทุกคนให้ทราบว่าแม้ว่าจะเป็นลูกจ้างชั่วคราวรายปี เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เมื่อถูกผู้มีอำนาจหรือผู้บังคับบัญชารังแกก็ไม่ควรงอมืองอเท้าหรือไกล่เกลี่ยให้จบๆ ไป คดีนี้จึงเป็นคดีที่แสดงจุดยืนเพื่อให้ประชาชนทุกคนที่ถูกรังแกจะไม่ยอมผู้มีอำนาจอีกต่อไป