นายกฯ ประชุม ศบค. เตรียมปรับมาตรการผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ระยะ 2 ยกเลิกตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางทั้ง 3 กลุ่ม (พฤษภาคม 2565) แต่ขอประเมินช่วงสงกรานต์ก่อน พร้อมสั่งการระดมสรรพกำลังบุคลากรทางการแพทย์ฯ เตียง ยา เวชภัณฑ์ ให้เพียงพอต่อการดูแลผู้ติดเชื้อ
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อที่ประชุมว่า ต่างประเทศชื่นชมการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ของไทยที่ผ่านมา พบว่าสัดส่วนผู้ที่เดินทางเข้ามาติดเชื้อน้อย และหลังจากที่ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ มีการเดินทางเข้าใหม่มากขึ้น โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มบุคลากรในการปฏิบัติงาน เพื่ออำนวยความสะดวกและประสิทธิภาพการบริการด้วย สำหรับการประชุม ศบค.วันนี้ เพื่อรับทราบสถานการณ์ ติดตามประเมินสถานการณ์ภายหลังจากที่ได้มีการผ่อนคลายหลักเกณฑ์มาตรการเดินทางเข้าประเทศตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่ถึงแม้จะมีอาการไม่รุนแรง แต่ก็มีอัตราการติดเชื้อที่สูง ติดเชื้อได้ไว และหากการควบคุมทำได้ไม่ดีพอ จะส่งผลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนัก และจำนวนผู้เสียชีวิตที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น จากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่อัตราผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ขอให้พิจารณาให้ผู้ป่วยกลุ่ม 608 และเด็ก สามารถเข้ารับการรักษาในระบบ UCEP Plus ในสถานพยาบาลได้ โดยไม่ต้องรอรักษาตามอาการ และขอให้ ศปก.สธ. ศปก.ศบค. และศปม. ช่วยกันระดมสรรพกำลังบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เตียง ยา และเวชภัณฑ์ ให้มีเพียงพอต่อการดูแลผู้ติดเชื้อทั้งในขณะนี้และช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน คงจะยังไม่จบง่าย ๆ และองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับโอมิครอนสายพันธุ์ลูกผสม XE ที่สามารถแพร่เชื้อติดต่อได้ง่ายและเร็วกว่าทุกสายพันธุ์ ในเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะเกิดได้จากการเดินทางกลับบ้าน แล้วมีการพบปะสังสรรค์กันจำนวนมาก
นายกรัฐมนตรีย้ำให้เร่งให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับภาวะหลังติดเชื้อโควิด-19 (Long COVID) เพราะการติดเชื้อโรคโควิด-19 ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่ แม้หายแล้วก็จะมีโอกาสเกิดภาวะผิดปกติระยะยาวในผู้ป่วยบางราย จึงขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันในการกำกับติดตาม เฝ้าระวัง และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเต็มความสามารถต่อไป รวมถึงเตรียมแผนรับมือกับภาวะหลังติดเชื้อโควิด-19 เพื่อดูแลผู้ป่วยที่อาจประสบปัญหา Long COVID จนทำให้บั่นทอนสมรรถนะในการดำรงชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการติดตามความคืบหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 มีความสำคัญมาก ขอให้เป็นวาระรายงานในที่ประชุม ศบค. เป็นระยะ ๆ เป็นแนวทางให้ประชาชนได้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนให้ป้องกันตัวเองและครอบครัวอย่างสูงสุดต่อไปอีก จะต้องไม่ประมาท โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์
สำหรับมติที่ประชุม ศบค. ที่สำคัญมีดังนี้
- ประกอบด้วย ระบบการลงทะเบียน – ปรับหลักฐานที่ต้องใช้ในระบบ Thailand Pass
- ผลตรวจก่อนเดินทาง – ยกเลิกตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางทั้ง 3 กลุ่ม
- ประกันภัย – ผ่อนคลายวงเงินประกัน หรืออื่น ๆ
- ปรับรูปแบบการตรวจหาเชื้อ เมื่อมาถึง และระหว่างพำนัก กรณี Test & Go – ปรับรูปแบบการตรวจหาเชื้อฯ เมื่อเดินทางมาถึง กรณี Quarantine ลดระยะเวลากักตัว กรณีผู้ควบคุมยานพาหนะฯ และลูกเรือ ลดระยะเวลากักตัว หรือผ่อนคลายอื่น ๆ
- กรณีผู้เดินทางติดเชื้อฯ และกรณีเป็นผู้เสี่ยงสูง (HRC) – ผู้ติดเชื้อฯ อาการเล็กน้อย (ผู้ป่วยสีเขียว) ผ่อนคลายอื่น ๆ – ผู้เสี่ยงสูง (HRC) ยกเลิกการกักตัว หรือผ่อนคลายอื่น ๆ
2. เห็นชอบแผนการจัดหา Long-acting antibody (LAAB) สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูงที่ภูมิคุ้มกันต่ำ ที่มีหลักการ ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Passive immunity) ในกลุ่มเสี่ยงสูงที่ไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ด้วยวัคซีน มีรายละเอียดในเอกสารกำกับยา คือ
- เป็น Antibody ชนิด long-acting antibody มีส่วนประกอบ 2 ชนิด (150 mg tixagemab co-packaged with 150 mg cilgavimab)
- ผ่านการรับรองใช้แบบฉุกเฉิน EUA โดย US FDA เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2564
- ขึ้นทะเบียนยาโดยบริษัท AstraZeneca ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 มีข้อบ่งใช้ คือ
กลุ่มเป้าหมายผู้มีความเสี่ยงสูงที่ภูมิคุ้มกันต่ำ โดยให้ก่อนการสัมผัสโรค สำหรับเชื้อไวรัสโควิด ขนาดการใช้ ฉีดเข้ากล้ามทุก 6 เดือน ภูมิต้านทานสามารถป้องกันโควิด19 ได้ 6 -12 เดือนต่อการให้ 1 ครั้ง
ประสิทธิผล ร้อยละ 83 ในการลดความเสี่ยงของอาการรุนแรงของโควิด 19 สายพันธุ์ Omicron subvariants BA.1 BA.2 และ BA.1.1 สำหรับกระบวนการจัดหา หารืออัยการสูงสูงสุดแนะนำให้ปรับสัญญากับบริษัท AstraZeneca โดยเปลี่ยนจากวัคซีน AstraZeneca บางส่วน โดยอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ ครม. อนุมัติแล้วและไม่ต้องเสียงบประมาณเพิ่ม (ข้อมูล ณ 8 เมษายน 2565)
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยนโยบายของรัฐบาล และ ศบค. ขอให้เป็นสงกรานต์ที่ปลอดภัย เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมของตัวเองในการเดินทาง เคารพกฎจราจร ปลอดภัยจากโควิดและเดินทางปลอดภัย พร้อมย้ำว่า ขอให้รักตนเอง รักครอบครัว รักผู้อื่น