เปลว สีเงิน
สส.เท่ากับ “ลูกจ้าง” กินเงินเดือนประชาชน
ทำงานแค่มานั่งด่ากันสัปดาห์ละ ๒ วัน
ข้าวปลาอาหาร น้ำท่า เหล้ายา ปลาปิ้ง มีปรนเปรอ
แต่ “หนีประชุม” ให้ “สภาล่ม” เป็นอาจิณ!
ส่วน “เงินเดือน” หน้าด้านรับกันทุกเดือน ทุกสิทธิประโยชน์รับหมด เครื่องราชอิสรยาภรณ์ก็รับ บำเหน็จ-บำนาญ ก็รับ ทั้งที่ “หนีงาน”
ถ้าเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครู แม่บ้าน ภารโรง ยาม หรือเป็นลูกจ้าง เป็นพนักงานบริษัท ห้างร้าน
นอกจากถูกไล่ออกแล้ว……..
มีโอกาสถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็น ๒ เท่าของเงินเดือน!
แต่นักการเมือง อย่างสส. มันพ่อของประชาชน พ่อของประเทศละมั้ง?
เพราะเห็นมันเป็นอภิสิทธิ์ชน “เหนือประเทศ, เหนือประชาชน, เหนือทุกกฎ-ทุกกติกาเสียจริงๆ
ประชุมเป็นล่ม
แต่ถึงเดือน เงินเป็นรับ!
ระบบสภาก็พวก “ปลาข้องเดียวกัน” ไม่เคยนำกฎสส.คนไหนขาดประชุมเกินจำนวน ๑ ใน ๔ ของจำนวนวันประชุมในสมัยหนึ่ง “ต้องพ้นสภาพสส.” มาบังคับใช้จริงจังเลย
“สภาผู้แทนราษฏร” ตอนนี้….
มันจึงเป็นสภาคนหนังหนา-หน้าด้านปล้อนปลิ้น “โกงประชาชนเลี้ยงชีพ” ชนิด ไร้สำนึก ไร้ยางอายที่สุด
ก็รู้แหละ…..
ต้องการ “ล่มสภา-ล้มรัฐบาล” ด้วยเป้าหมาย ๒ อย่าง
๑.อยากเลือกตั้งใหม่
๒.อยากกำจัด “พลเอกประยุทธ์” ให้พ้นนายกฯ!
แล้วความฉิบหาย ที่ทำให้ระบบสภาหมดศักดิ์ศรี หมายังอยากแย่งนอนหน้าเซเว่นมากกว่าที่หน้าสภาผู้แทน แล้วใครล่ะเสียหาย?
ก็ประชาชน “คนจ่ายเงินเดือน” ให้พวกโจรระบบเลือกตั้งนี่ไง!
เมื่อวาน (๑๙ มค.๖๕) มีร่าง “พ.รบ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา” เข้าสภา ซึ่งต้องร่วมประชุมกันปลุกเสก
เป็นกฎหมายรัฐบาล โดยครม.เสนอก็จริง แต่เกือบทุกพรรคทั้ง “ฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน” ต่างเสนอร่วม
ไม่ว่าพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาชาติ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย เพราะมันเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาของลูกหลานที่เป็นอนาคตชาติเห็นๆ
ประชุมซักพัก ผีก็หลอก จึงนับองค์ประชุม ปรากฏว่า จำนวนเต็มสส.ที่มีตอนนี้ ๔๗๓ คน
แต่มีอยู่ในห้องประชุม แค่ ๒๒๗ คน!
ไม่ถึง “กึ่งหนึ่ง” คือ ๒๓๗ คน ของจำนวน ๔๗๓ คน นั่นก็เท่ากับ “สภาล่ม” ต้องปิดประชุมไป
กฎหมายรัฐบาลแท้ๆ สส.ฝ่ายรัฐบาลหายหัวไปไหน จะไปถามหาความรับผิดชอบจากฝ่ายค้านโดยตรง ก็ไม่แฟร์นัก
หรือจะเป็นเพราะเหตุนี้ ที่สส.ฝ่ายรัฐบาลไม่ไปทำองค์ประชุมให้ครบ
เห็น “ไทยโพสต์” ออนไลน์ เขารายงานว่า……
ในช่วงเช้าวันที่ ๑๙ ม.ค. ร.อ.ธรรมนัสไม่ได้เดินทางไปร่วมประชุม ส.ส.ที่รัฐสภาเหมือนเช่นทุกครั้ง และตลอดทั้งวัน ไม่ได้เดินทางเข้ารัฐสภาเลย
ก่อนที่ในเวลา ๑๕.๓๗ น.นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข ส.ส.ตาก คนสนิท ร.อ.ธรรมนัส ได้ส่งข้อความเข้าในไลน์กลุ่มห้องประสานงานพรรค พปชร.ว่า
“เรียนเชิญ ส.ส.พรรค พปชร.ทุกท่าน มาประชุมที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯวันนี้เวลา ๑๗.๐๐ น.”
๑๗.๔๗ น.บรรดา ส.ส.พปชร.ต่างรีบเดินทางออกจากรัฐสภา เพื่อไปยังมูลนิธิป่ารอยต่อฯ หลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเรียกประชุมเป็นการด่วน
เนื่องจาก ร.อ.ธรรมนัส และส.ส.ในกลุ่ม ประมาณ ๒๐ คน แสดงความประสงค์ที่จะ “ออกจากพรรค”
โดยต้องการใช้วิธีให้มีการประชุม ส.ส.เพื่อลงมติขับไล่ตนเองและพวก เพื่อจะได้ไปหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน ๖๐ วัน
อืมมมมม….ก็ว่ากันไป ตถตาน่ะ!
สมมติบิ๊กป้อม ในฐานะหัวหน้าพรรค ทำตามธรรมนัสเสนอ คือขับออก เพื่อให้ขน ๒๑ สส.ออกไปเข้าสังกัดพรรคอื่น
ก็ไม่ซับซ้อนอะไร การเมืองระบบรัฐสภา มีทางเดิน ๒ ทางให้เลือก
๑.พลเอกประยุทธ์ก็เป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” แล้วยุบสภา เป็น “รัฐบาลรักษาการ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีเลือกตั้งใหม่ หรือ
๒.ลาออก ให้ฝ่ายเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล แล้วให้รัฐสภา “โหวตเลือก” ตัวนายกฯ ใหม่ ตามที่ประชุมเสนอ
ตกลงจะเอาไงกัน จะเป็นป่ารอยต่อหรือป่ารอยแตก ก็ยังไม่ทราบ แต่จากบรรยากาศ-รูปการณ์นี้ ในความเห็นผม
ธรรมนัสกับพลังประชารัฐ ….
ไม่ตอนนี้ ก็พรุ่งนี้ ก็คงต้องจบแบบ “ยุทธศาสตร์แก้มลิง” คือขับออก ให้ไปอยู่ “พรรคที่ตั้งสำรอง” ไว้ ของบิ๊กป้อม
เป็น “ลิเกการเมือง” ตามยุทธศาสตร์เสธฯ เขาน่ะ!
พักเรื่องนี้ไว้ก่อน มาดูอาการ “น้องอุ้ม” ต่อซักหน่อย เพราะทั้งประเทศห่วงใย เอาใจช่วยกันมากมายเหลือเกิน
ประกาศ
โรงพยาบาลราชวิถี
เรื่อง รายงานความคืบหน้าอาการ “น้องอุ้ม” พยาบาลรพ.อุ้มผาง มารับการรักษาตัว ณ โรงพยาบาลราชวิถี (ฉบับที่ ๒)
ความคืบหน้าอาการผู้ป่วยที่ได้ส่งตัวมารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลราชวิถี จากเหตุรถตู้พยาบาลฉุกเฉินของโรงพยาบาลอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ชนกับรถบรรทุกพ่วง บนถนนสายแม่สอด-อุ้มผาง เขตอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นั้น
อาการในขณะนี้ (วันที่ 19 มกราคม 2565 เวลา 13.00 น.) พบว่า ผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อการตรวจโดยการขยับแขนได้ แต่ยังคงไม่รู้สึกตัว
อาการสมองบวมคงที่ การหายใจและสัญญาณชีพปกติ แต่ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ขณะนี้ได้รับอาหารทางสายยาง
โดยแพทย์ผู้ดูแลให้ความเห็นว่า ผู้ป่วยยังคงต้องสังเกตอาการใกล้ชิดต่อเนื่อง และจะมีการประเมินอาการทางสมองในระยะต่อไป
………………………….
หลายท่าน อยากรู้จัก “น้องอุ้ม” ว่านางฟ้าสีขาวผู้นี้ เธอมีความเป็นมาอย่างไร เอ้าอ่านนี่
เรื่องเล่าหมอชายแดน
น้องอุ้ม..พยาบาลชายแดน
น้องอุ้มเข้าศึกษาพยาบาลในโครงการผลิตพยาบาลเพื่อพัฒนาสุขภาพประชาชนในจังหวัดชายแดนตามรอยสมเด็จย่า
คุณพ่อน้องอุ้มทำงานเป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่อุ้มผาง เคยไปรับราชการที่ชายแดนใต้หลายปี
โครงการนี้ ได้เปิดโอกาสให้บุตรธิดาของข้าราชการตำรวจ ทหารชายแดน ได้เข้าเรียน
เพื่อจบออกมาทำงานที่พื้นที่ชายแดนห่างไกล ที่ๆใครก็ไม่อยากมาทำงาน ทุรกันดารห่างไกลความเจริญ และจะได้มาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว
ชาวบ้านก็จะได้มีที่พึ่ง ข้าราชการก็ไม่ได้หนีจากพวกเขาไปไหน ทำงานแบบสำนึกรักบ้านเกิด
น้องอุ้มเป็นคนสวยน่ารัก น่าทะนุถนอม แต่พ่อบอกว่าตัวจริงแข็งแกร่งมาก ชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะบาสเก็ตบอลและออกกำลังกายเป็นประจำ
พี่ๆเพื่อนๆที่ทำงานบอกว่าอยู่โรงพยาบาลอุ้มผางเข้าปีที่ 4 เธอขยันทำงาน อารมณ์ดี สดใส มีน้ำใจกับทุกคนเสมอ ปกติจะประจำอยู่วอร์ดหลังคลอด ชอบเล่นกับลูกคนไข้ มีเวรรีเฟอร์คนไข้เฉลี่ย 2-3 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ บางทียอมขึ้นเวรแทนพี่ๆที่ไปไม่ไหว
อุ้มบอกพ่อว่า เดินทางบ่อยขนาดนี้เมื่อไหร่ไม่รู้จะถึงคิวน้อง..คิวในความหมายของอุ้มก็คือ การเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด
การรีเฟอร์คนไข้ออกจากอุ้มผางมาโรงพยาบาลแม่สอดหรือโรงพยาบาลที่ไกลกว่านั้น เป็นเรื่องยากมาก
ไหนจะต้องดูแลคนไข้ที่อาการหนักกว่าปกติ (ที่อุ้มผางเป็นพื้นที่ทุรกันดาร คนไข้มักเข้าถึงบริการช้า จนอาการทรุดหนัก บางพื้นที่ใช้เวลาเดินมาเป็นวันๆ )
ดูแลที่โรงพยาบาลว่ายากแล้ว นี่ต้องให้น้ำเกลือ ฉีดยาในสภาพที่รถกำลังวิ่งโค้งไป-โค้งมา ต้องใช้ทักษะมากทีเดียว แถมต้องปลดเข็มขัดนิรภัยบ่อยๆ เพราะดูแลคนไข้ไม่ถนัด ไหนจะถนนหนทางที่คดเคี้ยว ระยะทาง 164 กิโลเมตร 1,219 โค้ง เวลา 3.5 ชั่วโมงที่แสนทรมาน
สมัยก่อนที่เบียร์ไปอยู่อุ้มผางก็ออกมาส่งคนไข้บ่อยๆ มาถึงแม่สอดดูจะแย่กว่าคนไข้เสียอีก ต้องเอาถุงอ้วกที่เต็มไปด้วยน้ำดีห้อยหูไว้เลย ..
นับถือเจ้าหน้าที่รพ.อุ้มผางจริงๆ ที่ไม่เคยย่อท้อ ขอเพียงนำส่งคนไข้มาที่โรงพยาบาลแม่สอดได้อย่างปลอดภัย ดึกดื่นแค่ไหน ถ้าคนไข้รอไม่ได้ พวกเขาก็ไม่รอ
โรงพยาบาลอุ้มผางได้พัฒนาหลายด้าน เพื่อให้รองรับผู้ป่วยหนักให้ได้มากที่สุด เพื่อลดการรีเฟอร์ เพื่อความปลอดภัยของบุคลากร
เช่น การเพิ่มหมอเฉพาะทาง การตั้ง ICU ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก มีห้องผ่าตัดแบบมาตรฐาน มีโรงพยาบาลชุมชนไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่ยังเปิดผ่าตัดอยู่
มีที่นี่ค่ะ 4 อำเภอชายแดนตาก
แต่ด้วยความถี่ในการรีเฟอร์ผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก มากกว่า 750 ครั้งต่อปี ความเสี่ยงก็ไม่อาจหมดไป จนมาเกิดอุบัติเหตุรุนแรงครั้งนี้
น้องอุ้มบาดเจ็บทางสมอง
เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลแม่สอด โดย “คุณหมอกัลยา” ศัลยแพทย์ผ่าตัดสมองที่ตั้งใจทำงานหนักมากที่ชายแดนมาตลอด
การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
เมื่อน้องพอที่จะเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย เราได้ส่งตัวน้องต่อไปรักษาที่ “โรงพยาบาลราชวิถี” ที่มีความพร้อมมากกว่า
โดยลำเลียงทางอากาศยาน sky doctor โดยความช่วยเหลือจากกระทรวงสาธารณสุข รับน้องเป็นคนไข้ในความดูแล
และสัญญาว่า “จะดูแลคนในหน่วยงานของเราอย่างดีที่สุด” เพราะเขาบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อผู้ป่วยด้วยความทุ่มเทและเสี่ยงภัย
เบียร์มีส่วนร่วมในทีมประสานงานช่วยเหลือน้องอุ้ม ขอเป็นตัวแทนขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยเหลือให้น้องปลอดภัย ทั้งส่วนการรักษา การลำเลียงส่งต่อ การบริจาคเลือด บริจาคทรัพย์ และการจัดการเรื่องต่างๆ
ขอกำลังใจคนไทยทุกคนส่งให้กับพยาบาลตัวน้อยของชายแดนตากตะวันตกคนนี้
ให้กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรง มีรอยยิ้มที่สดใสให้กับคนไข้ของเธอและพวกเราทุกคนอีกครั้ง ..
กลับมาเป็นเทียนเล่มน้อยที่ส่องแสงเพื่อผู้คนที่ชายแดนแห่งนี้เร็วๆนะน้องอุ้ม
…………………
พี่ป้อม-น้องธรรมนัส ก็เช่นกัน ขอให้เป็น “เทียนเล่มใหญ่” ตามหวังในทางอนาคตนะ