ผักกาดหอม
บอกตรงๆ ว่ายาก
ใครที่บอกว่าสามารถสกัด โอมิครอน ไม่ให้ระบาดได้ ก็ถือว่าไม่รู้จักเจ้าโควิด-๑๙ ตัวนี้ดีพอ
สถิติทั่วโลกมันฟ้องครับว่า แม้ประเทศชั้นเอกที่หนึ่ง ก็เอาโอมิครอนไม่อยู่
อเมริกาหลักล้าน ยุโรปหลายประเทศหลักแสนต่อวัน
บางประเทศปล่อยให้ติด ยอมรับสภาพคุมไม่อยู่จริงๆ
แต่ไม่ปิดธุรกิจ ไม่ล็อกดาวน์
ด้วยเหตุผลที่รับรู้กันมาระยะหนึ่งแล้ว ติดเร็วเป็นไฟลามทุ่ง แต่ไม่รุนแรงเท่าเดลตา
ไวรัสฉลาด เรียนรู้ที่จะอยู่กับคน
คนติดแล้วตายเยอะ กลายเป็นการตัดวงจรดับอนาคตลูกหลานตัวเอง เช่น อีโบลา ระบาดในแอฟริกากลางมาหลายปีแล้ว ก็ยังคงระบาดในพื้นที่เดิมๆ เป็นหลัก
โอมิครอน ถือเป็นสุดยอดไวรัสโคโรนา ในขณะนี้แล้ว ระบาดเร็ว หลบหลีกวัคซีนได้ คนติดแล้วตายน้อย ไม่ตัดโอกาสในการแพร่เชื้อต่อ
ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มีสถิติที่น่าสนใจครับ
————-
มีข้อมูลว่าปัจจุบัน โอมิครอน เป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากไวรัสหัด
R-naught (R0) เป็นค่าคำนวณบ่งชี้ความสามารถในการติดต่อโรคโดยเฉลี่ย อันหมายถึงจำนวนคนที่ผู้ติดเชื้อเพียงคนเดียวจะแพร่โรคนั้นไปให้ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การคำนวณ “ความสามารถในการแพร่ระบาด” โดยเฉลี่ยของโรค
ไวรัส “หัด” ติดต่อกันได้ง่ายที่สุดในโลก มีค่า R-naught ประมาณ ๑๕-๑๘
ไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปน ๑๙๑๘ และไวรัสไข้หวัดใหญ่ปัจจุบันมีค่า R-naught ประมาณ ๒-๓
ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ สายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” มีค่า R-naught ประมาณ ๒.๕
ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ สายพันธุ์ “เดลตา” มีค่า R-naught ประมาณ ๖.๕-๘
ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ สายพันธุ์ “โอมิครอน” มีค่า R-naught ประมาณ ๘-๑๕ คือจากผู้ติดเชื้อโอมิครอนหนึ่งรายสามารถแพร่ติดต่อไปยังผู้อื่นอีก ๘-๑๕ คน
โดยทั้ง ๘-๑๕ คนนั้น ต้องเป็นผู้ไม่เคยติดเชื้อ และยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-๑๙ มาก่อน ซึ่งจะหาได้ยากในประเทศไทย เพราะประชากรกว่าร้อยละ ๗๐ ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว และติดเชื้อตามธรรมชาติอีกจำนวนหนึ่ง
ดังนั้นโอกาสที่คนในประเทศไทยทุกคนจะติดเชื้อ “โอมิครอน” พร้อมกันอย่างรวดเร็วจะเป็นไปได้ยาก
เพราะพวกเราส่วนใหญ่มีภูมิกันแล้ว ทั้งจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติ ร่วมด้วยช่วยกันฉีดวัคซีนเพื่อมิให้ “โอมิครอน” ระบาดไปทั่วประเทศ
อาจจะทำให้มีคนป่วยเข้า รพ.ได้ถึงร้อยละ ๒-๓
วัคซีนที่ฉีดจะเข้าไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาว B เซลล์ ให้สร้างแอนติบอดี แต่ก็ด้อยประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อประมาณเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ที่ยังควรฉีดเพราะวัคซีนที่ฉีดเข้าไปยังสามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาว T เซลล์ ให้ส่งสัญญาณไปยังเม็ดเลือดขาวหลายประเภทเข้าทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส
ทำให้ลดอัตราการเจ็บป่วย รุนแรง และเสียชีวิต
นอกจากนี้ยังลดการเพิ่มจำนวนในตัวผู้ติดเชื้อและลดการระบาดระหว่างคนสู่คน เพื่อมิให้เกิดไวรัสกลายพันธุ์มาแทนที่โอมิครอน ให้มันจบที่โอมิครอน
WHO คาดคะเนว่าไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ น่าจะยุติลงได้ในปี ๒๕๖๕ นี้ หากมีการฉีดวัคซีน ๑-๒ เข็ม อย่างน้อยร้อยละ ๗๐ ทุกประเทศ ทั่วโลก
————-
ครับ…นั่นคือวิทยาศาสตร์ อธิบายตามหลักของเหตุผล
ก็อาจจะมีข้อโต้แย้งว่า ยุโรป อเมริกา ฉีดวัคซีนเยอะกว่าไทย ทำไมแต่ละประเทศยังมีคนติดเชื้อวันละเป็นแสนเป็นล้านคน
ทุบสถิติกันแทบทุกวัน
แล้วไทยจะรอดหรือ
ลงลึกไปดูตัวเลขบางคนอาจคิดไม่ถึงว่า ตามสัดส่วนประชากร ผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกของไทยกับเมริกานั้น ต่างกันเพียง .๑ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
อเมริกาอยู่ที่ ๗๓.๔ เปอร์เซ็นต์
ส่วนไทย ๗๓.๓ เปอร์เซ็นต์
และที่ครบโดสไปแล้วคือ ๒ เข็ม
อเมริกา ๖๒ เปอร์เซ็นต์
ไทย ๖๕.๒ เปอร์เซ็นต์
ประหลาดใจใช่มั้ยครับ ที่ไทยฉีดวัคซีนได้มากพอๆ กับอเมริกา
ดูเปอร์เซ็นต์แบบนี้ อเมริกาฉีดเยอะยังติดเชื้อกันเยอะ ฉะนั้นไทยก็ไม่น่ารอด
ช้าก่อน…
พฤติกรรมของคนไทยกับอเมริกัน หรือชาวยุโรป ในการสู้กับโควิดนั้น ต่างกันมากทีเดียว
ในแง่ความมีวินัยนั้น เราดีกว่าเขาเยอะ
ก่อนนี้มีดารา เซเลบ คนดัง ไปเที่ยวอเมริกา แล้วโพสต์รูป โพสต์ข้อความผ่านในโซเชียล ค่อนแคะประเทศตัวเอง อเมริกาถอกหน้ากากอนามัยได้แล้ว
ถ่มถุยประเทศตัวเอง ออกจากบ้านต้องระวังตัวยิ่งกว่าไปสนามรบ
เพราะไทยมีผู้นำที่ไม่ได้เรื่อง
หารู้ไม่ เพราะไม่สวมหน้ากากอนามัยนี่แหละครับคือตัวเร่งให้โอมิครอนระบาดไปอย่างรวดเร็วในอเมริกาและยุโรป
วันละแสนวันล้านคน
อีกสิ่งที่อเมริกันและยุโรปต่างไปจากคนไทยมากพอควรคือ มีการต่อต้านการฉีดวัคซีนกันอย่างจริงจังมาก ถึงขั้นจุดม็อบชุมนุมประท้วง
ในไทยก็มี ออกมาเคลื่อนไหวสิบยี่สิบคน และเงียบไปแล้ว เพราะถูกวิจารณ์ยับว่า มีแนวคิดเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ
อเมริกามีประชากร ๓๓๐ ล้านคน
ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน รวมถึงต่อต้านวัคซีนยังมีอีกหลายสิบล้านคน
ฉะนั้นไม่แปลกที่จะมีผู้ติดเชื้อรายวันมากมายก่ายกองขนาดนั้น จนมีข่าว โอมิครอน สร้างภาระให้โรงพยาบาลไม่ต่างจาก เดลตา
จนหลายฝ่ายหวั่นๆ ว่าระบบสาธารณสุขจะรับภาระหนักไม่ไหวจนล่มสลาย
แต่ตัวปัญหาจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ โอมิครอน โดยตรง
เมื่อครั้ง เดลตา ระบาดหนัก ปัญหาที่โรงพยาบาลในอเมริกาเจอคือ จำนวนเตียงไม่เพียงพอเพราะความรุนแรงของเชื้อ
แต่ครั้งนี้เมื่อเผชิญ โอมิครอน กลับเผชิญกับปัญหา การขาดแคลนบุคลากรการแพทย์อย่างร้ายแรง เพราะเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจำนวนมากเริ่มติดเชื้อ โอมิครอน และต้องกักตัว
และบางส่วนลาออกไปแล้วจากวิกฤตเดลตา
สำหรับไทย ต้องทำใจ
ติดเชื้อไม่น้อยกว่า เดลตา แน่ๆ ขณะเดียวกันอัตราการเสียชีวิตจะน้อยกว่ากันเยอะ
อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ โอมิครอน ระบาดเป็นวงกว้าง ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องดี โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน เช่น เด็ก รวมไปถึงผู้สูงอายุ
แต่ไม่มีทางที่จะติดเป็นแสนเป็นล้านคนต่อวันแน่นอน
ตราบที่เรายังรู้สึกว่า ใครไม่สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ…คือตัวประหลาด