ผักกาดหอม
น่าจะลำบากไม่น้อย
แกนนำสามนิ้วที่อยู่ในคุก อาจต้องอยู่ในคุกนานขึ้น
จนกว่าคดีจะสิ้นสุด
ถ้าผิดก็ติดคุกต่อ
หากไม่ผิดจะได้รับการปล่อยตัว
แต่เมื่อไหร่นั้น ยากที่จะตอบ
เหตุปัจจัยที่ทำให้แกนนำสามนิ้วไม่ได้รับอิสรภาพ เกือบทั้งหมดล้วนมาจากการกระทำของกลุ่มก๊วนตัวเองแทบทั้งสิ้น
ที่เห็นชัดๆ คือ “กฤษฎางค์ นุตจรัส” ทนายความแกนนำสามนิ้ว บอกว่าหลังเข้าเยี่ยม อานนท์, เพนกวิน, ไมค์ ระยอง และ ไผ่ ดาวดิน ได้รับการร้องขอจากทั้ง ๔ คน ให้แจ้งข้อความดังต่อไปนี้ ให้แก่พ่อแม่ญาติพี่น้อง และบรรดามิตรสหายเพื่อนฝูงรวมทั้งสื่อมวลชนให้ทราบว่า
๑.ภายหลังจากที่ผู้บริหารของศาลอาญาได้มีมติไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) พวกเขาในระหว่างการพิจารณาคดีตามคำร้องขอของทนายความเมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๔ นั้น พวกเขาเห็นว่าเหตุผลของศาลอาญาไม่ชอบด้วยหลักกฎหมาย หลักยุติธรรม และไม่เป็นไปตามกติการะหว่างประเทศที่ไทยได้ให้สัตยาบันรับรองไว้
พวกเขาทั้งสี่เชื่อว่าการไม่อนุญาตให้พวกเขาได้รับการประกันตัวไปสู้คดีอย่างเต็มที่นั้น เป็นการปิดโอกาสที่พวกเขาจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเขา และเป็นการพิพากษาเสียล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิด
ด้วยเหตุผลข้างต้น พวกเขาทั้งสี่จึงขอประกาศว่า นับจากนี้พวกเขาจะไม่ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) ในระหว่างพิจารณาคดีต่อศาลอาญาอีก และจะไม่อนุญาตให้ทนายความและบุคคลใดไปดำเนินการดังกล่าวทั้งสิ้น
๒.การตัดสินใจของพวกเขาทั้งสี่ไม่ผูกพันบรรดาผู้ต้องขังและนักโทษการเมืองที่ยังถูกจับกุมคุมขังและไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวคนอื่นแต่อย่างใด
๓.พวกเขาทั้งสี่ยังยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงและยังยืนยันที่จะเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศนี้ตามแนวทางที่ได้ร่วมต่อสู้มาโดยตลอด โดยไม่หยุดยั้งไม่ว่าจะถูกคุมขังอยู่หรือไม่ก็ตาม
๔.พวกเขาทั้งสี่ขอร่วมกันเรียกร้องให้มวลหมู่มิตรสหายที่ได้ร่วมต่อสู้ด้วยกันตลอดมาจงยืนหยัดในข้อเรียกร้องทั้งสามประการ และต่อสู้ต่อไปตามแนวทางประชาธิปไตยโดยสงบ สันติวิธี
ทั้งนี้พวกเขาทั้งสี่ขอยืนยันว่าพวกเขาทั้งสี่ขอเป็นกำลังใจและจะยืนหยัดต่อสู้กับพี่น้องข้างนอกด้วยกันตลอดไป
ครับ…ว่ากันตรงๆ นี้คือความพยายามปลุกม็อบจากในคุก
ปลุกเร้าให้มวลชนมีอารมณ์ร่วม
แต่…มันก็เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย เมื่อไม่ขอประกันตัว ก็ไม่ได้รับการพิจารณาให้ประกันตัว
ฉะนั้นเหตุไม่ได้ประกันตัว จึงไม่อาจนำไปกล่าวอ้างว่า กระบวนการยุติธรรมไม่มีมาตรฐานได้อีกแล้ว
ขณะเหตุผลที่ศาลไม่ให้ประกันตัวก่อนหน้านี้ก็ชัดเจน
เพราะทั้งหมดทำผิดซ้ำซากในข้อหาเดิม
มองเงื่อนไขการให้ประกันตัวของศาลแค่เศษกระดาษ
ประเด็นสำคัญ แกนนำสามนิ้ว ต่อสู้เรื่องอะไร?
เท่าที่ปรากฏในคำกล่าวอ้างของทนายความคือ ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้ไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง
แต่ในข้อเท็จจริง การจองจำแกนนำสามนิ้ว แทบไม่มีคดีไหนเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องประชาธิปไตยเลย
เพราะเกือบทั้งหมดเป็นความผิดตาม ม.๑๑๒
มีพฤติกรรมโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวให้ร้ายสถาบันฯ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยอ้างว่าต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
แกนนำสามนิ้วพยายามลากเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ไปเป็นคู่ขัดแย้ง
ไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย
แต่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
การลบสีน้ำเงินบนธงชาติไทย อธิบายถึงแนวคิดของคนกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด
สามนิ้ววางไทม์ไลน์ หลังปีใหม่จะจัดชุมนุมใหญ่ และกลุ่มที่เป็นตัวตั้งตัวตีใช้ชื่อว่า คณะราษฎรยกเลิก ๑๑๒ (ครย.๑๑๒)
หากประมวลตามชื่อกลุ่ม กิจกรรมของกลุ่ม ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ…ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
สถานการณ์โควิด-๑๙ ไม่ได้เอื้อให้มีการชุมนุมช่วงหลังปีใหม่สักเท่าไหร่
เพราะการมาของ “โอมิครอน” อาจสร้างความเสียหายต่อส่วนรวมมากกว่าที่กลุ่มสามนิ้วคาดคิดเอาไว้มากโขทีเดียว
ฉะนั้นบนเงื่อนไข ไม่ขอประกันตัว แต่ปลุกระดมให้มีการชุมนุมหลังปีใหม่ ในสถานการณ์การระบาดของ โอมิครอน นี้…
แกนนำสามนิ้วอาจต้องอยู่ในคุกไปอีกนาน
การเข้าสู่สภาวะจนตรอก เพราะมองไปข้างหน้า หนทางล้มล้างสถาบันฯ แทบเป็นไปไม่ได้ ขณะที่แกนนำสามนิ้วไม่ต่างจากเด็กถูกทอดทิ้ง
บรรดานักวิชาการ อาจารย์ที่เคยยุเด็กให้ติดคุก วันนี้หายหัวกันไปเกือบหมด บางคนเตรียมตัวไปเที่ยว พักผ่อนช่วงเทศกาลปีใหม่
เพื่อป้องกันการถูกลืม มีวิธีกู้สถานการณ์ไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคือ ฟ้องต่างชาติ เป้าหมายคือ แค่ต้องการให้เป็นข่าว เพื่อจุดอารมณ์ให้มวลชน
“อานนท์ นำภา” ร่อนจดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย จากในคุก เป็นหนึ่งในความพยายามดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงไทย
“…ในประเทศที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพ การจองจำนักศึกษา ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยก็จะมีให้เห็นอยู่เช่นนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองของไทย แทบไม่เคยมีการเปิดพื้นที่ให้การพูดคุย
ผู้มีอำนาจจากอดีตถึงปัจจุบัน ก็ยังคงใช้ความรุนแรง ทั้งที่เป็นอาวุธและในนามของกฎหมาย ทำร้ายและทำลายพวกเราอย่างไร้มนุษยธรรม
กระผมทราบว่าในประเทศของท่านได้ผ่านช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อันเป็นบทเรียน ทำให้ประเทศของท่านเข้มแข็ง เรียนรู้ ต่อสู้กับผู้ปกครองที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนเปลี่ยนผ่านมาสู่การเป็นประเทศที่เป็นเสาหลักด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสง่างาม
ทั้งยังให้ความสำคัญต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่บัญญัติไว้ในมาตราแรกของรัฐธรรมนูญแห่งเยอรมันนี
ซึ่งแตกต่างกับประเทศของกระผมที่แม้มีรัฐธรรมนูญ ให้สิทธิ เสรีภาพแต่ก็หาใช้ได้จริงไม่
เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ถูกทำลายลงด้วยอาวุธปืน น้ำผสมสารพิษและกระบวนการทางศาล
กล่าวโดยเฉพาะ ภายหลังการลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเรา รัฐได้ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม จับกุมคนที่แสดงความเห็นโดยสุจริตจำนวนมาก ยัดข้อหาที่ไม่เป็นธรรม
จนกระทั่งในขณะที่เขียนจดหมายถึงท่านอยู่นี้ กระผมกับเพื่อนๆ ก็ยังถูกขัง เพียงเพราะออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตย
บางคนถูกฟ้องเพียงเพราะใส่เสื้อคร็อปท็อป แม้กระทั่งนักศึกษาที่เดินทางไปยื่นหนังสือที่สถานทูตของท่านก็ยังถูกฟ้องและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำหญิงแห่งหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ศาลที่เคยให้ความยุติธรรมในอรรถคดีทุกเรื่อง พอมาถึงการบังคับใช้มาตรา ๑๑๒ กลับเป็นข้อยกเว้นแห่งความยุติธรรม เป็นเสมือนหลุมดำที่บรรดาตุลาการมิอาจมีเรี่ยวแรงฝ่าข้ามไปได้…
เป็นความพยายามในรูปแบบเดิมๆ ราวกับว่าชาวต่างชาติในไทย โง่เง่าเต่าตุ่น มองไม่เห็นว่าม็อบสามนิ้วเคลื่อนไหวอย่างไร
สงบ สันติ ปราศจากอาวุธ จริงหรือไม่
“อานนท์” ก็รู้ว่า ไม่มีคดีใส่เสื้อครอปท็อป เพราะใครๆ ก็ใส่ได้
แต่ข้อความที่เขียนตามร่างกายต่างหาก อย่างน้อยๆ หากเป็นบุคคลธรรมดา ก็สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทได้
ข้ออ้างเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตย ก็มิได้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่เน้นไปทาง ให้ร้าย โจมตี เพื่อล้มล้างสถาบันฯ
ยากครับที่ต่างชาติจะเข้าแทรกแซงไทย หากจะเข้ามาต้องมีเหตุผลเป็นที่ยอมรับของคนไทยส่วนใหญ่
ครับ…อานนท์ เพนกวิน ไมค์ และ ไผ่ ดาวดิน คงต้องอยู่ในคุกอีกนาน