เปลว สีเงิน
พูดถึง “เปรมชัย กรรณสูต” ที่สังคมโลกชื่นชมไปแล้ว
ในฐานะ “นักโทษผู้ยิ่งใหญ่”
เมื่อต้องโทษคุก…หนีได้ ไม่หนี ด้วยสปิริตประชาธิปไตย
ที่ขับเน้น “สังคมทัดเทียม”
ผิด ยอมรับคำตัดสินศาล” เดินเข้าคุก” เหมือนตาสี-ตาสา ทั่วไป ฝากรอยตีนไว้บนหน้าพี่โทนาฟกับน้องปูรอแป๊บ เป็นสัญลักษณ์ “หญิงร้าย-ชายเลว”!
เรื่องนี้ จะไม่เป็นตำนาน “นักเลงจริง-ข้าราชการแท้” ให้กล่าวขาน ถ้าไม่พูดถึง “”
อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ผู้ยักไหล่ให้สินบน แล้วจับคุณเปรมชัยในคดีเสือดำ สปิริต คุณเปรมชัย วันนี้ นั้น….
จะเหมือนพลอย ที่ไม่มีเพชรล้อม เพื่อขับเน้นคุณค่าซึ่งกันและกันเลย!
“หัวหน้าวิเชียร”……..
เป็นผู้ลบคำว่า “คุกตะรางมีไว้ขังคนจนกับขังหมา” ให้พ้นไปจากสารบบยุติธรรมไทย ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ “ข้าราชการตงฉิน” ของเขา
จากการจับกุม คุณ “เปรมชัย” ในคดีเสือดำ เมื่อปี ๖๑
คุณวิเชียรได้รับมอบรางวัล จากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP)
เชิดชูเกียรติความกล้าหาญ, การสร้างสรรค์นวัตกรรม และความมีจริยธรรม จากการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพล
แล้ววันนี้ หัวหน้าวิเชียร ศิษย์เก่า “วนศาสตร์เกษตรฯ” ข้าราชการผู้สัตย์ซื่อต่อหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่ไหน?
เขาขอย้ายจากทุ่งใหญ่นเรศวร ไปอยู่ที่ “สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ ๑๐ (อุดรธานี)” ใกล้ถิ่นฐานบ้านตัวเอง
เมื่อมีนา.๖๔ แต่งงานกับสาวงามที่กาฬสินธุ์ ขณะนี้ ทั้งชีวิตข้าราชการ ทั้งชีวิตครอบครัว หัวหน้าวิเชียร “สมบูรณ์สุข” ตามฐานานุรูป
ทั้งคุณเปรมชัย ทั้งคุณวิเชียร……..
ไม่มีอะไรต้องติดค้าง ในทางผูกพยาบาท ฆาตพยาเวรต่อกัน เพราะทั้งสองคน เป็นไปตามคำว่า
“ยัง กัมมัง กะริสสันติ, กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา,ตัสสะ ทายาทา ภาวิสสันติ”
“ทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือบาป จักต้องเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ สืบไป”
ทั้ง ๒ ก็รับผลแห่งกรรมในด้านของตนแล้ว ไม่ผิดไปจากพุทธธรรมนั้น เป็นที่ประจักษ์จริง
“พวกล่มชาติ-ล้มสถาบัน” ก็ดูเป็นตัวอย่างไว้ ที่ว่า “มันต้องจบที่รุ่นเรา” นั่นน่ะ
สาธุ!
จบของพวกคุณนั่นน่ะ ทั้งในสภา-ในถนน มัน “จบแน่” แต่จบแบบ
“นช.เปรมชัย” ครับ!
คนเราเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะคนในระบบราชการ นิยมชมชื่นทัศนคติใหม่
“ใครไม่รับใต้โต๊ะ ใคร่ไม่กินสินบน เป็น “แกะดำ” แปลกปลอมในหมู่ข้าราชการ “แกะขาว” ที่ใครๆ เขาก็เอากันทั้งนั้น !
ข้าราชการดี จะถูกเหยียบย่ำ กดให้ต่ำลง ข้าราชการกังฉินกินเมือง จะเฟื่องฟู ได้รับการยกย่อง มียศ มีตำแหน่ง ก็อยากบอก…….
ในจักรวาลดาวที่เหลืออีกไม่เกิน ๖ เดือน
เพื่อให้กลับตัว-กลับใจ ว่าไฟที่เห็นตอนนี้ ด้วยนึกกันว่า เป็นเปลวไฟจากคบเพลิงโอลิมปิก น่ารื่นรมย์ สนุกสนานนั้น
เข้าใจซะใหม่ มันไม่ใช่หรอก
มันคือ “ไฟนรก” ที่จะลามหมกไหม้พวกจัญไรเมืองและพวกกินสินบาทคาดสินบนในระบบราชการ!
ส่วนที่ยึดมั่นในสัตย์-สุจริต ผมไม่มีอะไรจะบอก แต่อยากยก “เรื่องเล่า” เรื่องหนึ่งมาให้เป็นอุทาหรณ์
—————————-
Saran Wiki
มีเรื่องเล่ากันว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕
ซึ่งโดยปกติ พระองค์มักจะเสด็จออกตรวจตราดูแลทุกข์สุขของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์อยู่เสมอๆ
โดยทรงฉลองพระองค์อย่างประชาชนคนธรรมดาทั่วไป เสด็จปะปนไปกับประชาชนมิได้ขาด
และมักเสด็จไปโดยปราศจากผู้ติดตาม!
วันหนึ่ง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ได้เสด็จขึ้นประทับรถรางของ “นายจอห์น ลอฟตัส” ที่หลักเมือง อันเป็นต้นทาง เผอิญทรงลืมเอาเงินพกติดตัวไปด้วย
เมื่อรถเคลื่อนที่ออก คนเก็บเงินถามว่า จะไปลงที่ไหน? ตรัสว่า “ถนนตก”
คนเก็บเงินจึงบอกไปว่า “ถนนตกต้องเสียเงินสลึงหนึ่ง“
พระองค์ตรัสว่า
“ไม่มี รีบออกมาจากบ้าน ลืมเอามา ฉันมีธุระจริงๆ พรุ่งนี้จะเอามาให้ ขอให้ฉันไปด้วยนะ“
คนเก็บเงินบอกว่า
“ไม่ได้หรอก ระเบียบเขามีอย่างนั้น ขึ้นรถแล้วก็ต้องเสียเงินซี”
พระองค์ตรัสว่า “เถอะน่า เว้นฉันไว้สักคนคงไม่เป็นไร ไม่มีใครรู้หรอก”
กระเป๋าตอบว่า
“ไม่ได้หรอก ฉันต้องทำตามหน้าที่ อย่าหาว่าใจร้ายใจดำเลยพ่อคุณ ให้พ่อไปด้วยไม่ได้หรอก มันผิดระเบียบ”
พระองค์ตรัสว่า“ก็ฉันจะไปนี่นา บอกว่าพรุ่งนี้จะเอามาให้ เมื่อไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ฉันต้องไปถนนตกให้ได้“
ฝ่ายคนเก็บเงินก็ไม่ยอมท่าเดียว เถียงกันไปมา เผอิญคุณยายคนหนึ่งที่นั่งมาในรถรางคันเดียวกัน เห็นเถียงกันไปมาไม่หยุด จึงยื่นเงินสลึงหนึ่งให้
“เอ้า! ฉันให้ค่ารถแทนก็แล้วกัน”
คนเก็บเงินก็รับเอาไป เรื่องราวควรจะจบลงแค่นี้ แต่พอรถรางวิ่งไปจนเกือบถึงถนนตก รถม้าพระที่นั่งก็วิ่งตามไปทัน ทุกคนบนรถราง รวมทั้งคนเก็บเงินหันไปดู มีคนตะโกนว่า
“ในหลวงเสด็จ“
ต่างคอยจ้องดูในหลวงกัน รถรางคันนั้นก็หยุด เพื่อให้รถพระที่นั่งผ่านไปก่อน แต่รถพระที่นั่งไม่เลยไป กลับมาหยุดเทียบรถรางพอดี
ในหลวงซึ่งประทับมาในรถราง ก็เสด็จขึ้นประทับบนรถพระที่นั่ง แล้วก็บ่ายหน้ากลับทันที
ตอนนี้ คนเก็บเงินรถราง ตาเหลือก ตกตะลึง เมื่อรู้ว่าผู้ที่ตนทะเลาะเรื่องค่าโดยสาร และไล่ให้ลงเมื่อกี้ คือ “ในหลวง“
ถึงกับมือเท้าอ่อน เหงื่อโทรมกาย คิดไปคิดมาเลยร้องไห้โฮ เพราะเจ็บใจตัวเอง ที่มีตาหามีแววไม่
เล่นกับใครไม่เล่น ไปเล่นกับเจ้าชีวิต คราวนี้ เห็นทีหัวขาดแน่นอน นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นที่น่าสงสาร
รุ่งขึ้น ตำรวจมาสืบหาตัวคนเก็บเงินรถราง แล้วจับกุมตัว คนเก็บเงินรถรางหน้าซีดเหมือนคนตาย ลาลูกเมียและเพื่อนฝูงเป็นการใหญ่
นึกอยู่ในใจว่า โทษของตนต้องถูกตัดหัวสถานเดียวแน่นอน ตำรวจพาตัวคนเก็บเงินรถรางเข้าเฝ้าถึงท้องพระโรง ถึงกับเป็นลมแล้วเป็นลมอีกเลยทีเดียว
ตำรวจต้องช่วยพยุงเข้าไป พอเข้าไปถึงพระที่นั่ง คนเก็บเงินรถรางถวายบังคมท่าทางเงอะงะ วิงวอนขอพระราชทานชีวิตเอาไว้
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงทอดพระเนตรเห็นอาการของคนเก็บเงินแล้ว ก็ให้ทรงนึกขำ
แต่ก็ทรงแสร้งทำพระพักตร์บึ้งตึง มีพระราชดำรัสตวาด และด่าว่าคนเก็บเงินรถราง ตรัสว่า
“โทษถึงประหาร กูเป็นเจ้าเหนือหัวแท้ๆ ยังทำกับกูได้ถึงเพียงนี้ จะเก็บเงิน กูก็จะให้ แต่เผอิญกูลืมเอาไป ผัดก่อนก็ไม่ได้ คนแบบนี้อยู่ไปก็รกแผ่นดินของกู”
แล้วตรัสเรียกมหาดเล็ก ให้หยิบถุง “ถุงหนึ่ง” มาถวาย
จากนั้น “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ตรัสเรียกคนเก็บเงินรถรางเข้าไปใกล้ๆ ทรงยื่นถุงให้ แล้วตรัสว่า
“เอ้า! เอาไป ถ้าเมืองไทย มีคนทำงานตามหน้าที่อย่างนี้มากๆ บ้านเมืองก็เจริญ”
เมื่อคนเก็บเงินรถรางรับถุงนั้นออกมาแล้ว ก็มีรับสั่งให้นำตัวออกไป พอพ้นวังตำรวจบอกว่า กลับบ้านได้
คนเก็บเงินรถรางประหลาดใจ เอ๊ะ เรื่องมันยังไงกันนี่ พอตำรวจจากไปแล้ว จึงนึกถึงถุงที่ได้รับพระราชทานมาแต่พระหัตถ์ในหลวงขึ้นมาได้
เปิดปากถุงออกดู เห็นเป็นเงิน จึงเทออกมานับ ปรากฏว่ามีทั้งหมดชั่งหนึ่งพอดี
คนเก็บเงินรถรางยิ้มออกมาได้ ทรุดตัวลงนั่งกลางถนนนั่นเอง หันหน้าไปทางที่ประทับของในหลวง ถวายบังคมลา เดินตัวลอย ยิ้มแป้น กลับบ้านทันที
เค้าโครงเรื่องเล่า : หนังสือเมืองไทยในอดีต (พระนคร) ของ “เพิ่มศักดิ์ วรรลยางกูล” :วัฒนาพานิช,2503
……………………………..
“ถ้าเมืองไทย มีคนทำงานตามหน้าที่อย่างนี้มากๆ บ้านเมืองก็เจริญ”
ฝากถึงรัฐบาล!
ถ้าเมืองไทย มีคนทำงานตามหน้าที่อย่างนี้มากๆ บ้านเมืองก็เจริญ
ฝากถึงสส.-สว.!
ถ้าเมืองไทย มีคนทำงานตามหน้าที่อย่างนี้มากๆ บ้านเมืองก็เจริญ
ฝากถึงข้าราชการการเมือง ข้าราชการทหาร-ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน
และ “ข้าราชการ กทม.” ด้วย!