เปลว สีเงิน
แรกๆ ยังไม่ค่อยมั่นใจ เพราะ “รู้ไส้” ตำรวจดี
แต่ถึงวันนี้
มั่นใจ ระดับ ๖๐% อัพ แล้วว่า ตำรวจชุดทะลายห้าง “แก๊งตู้ห่าว” ต้องการ “รื้อรังปลวก” จริง!
แสดงว่า งานนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของตำรวจโดยตรง หากแต่จากการทำ “ฝนหลวง” ประมาณนั้น
ฝนจึงตกชนิด “ฟ้าถล่ม”!
พวกเราต้องให้กำลังใจตำรวจชุดนี้กันมากๆ นะ ตั้งแต่ ผบ.ตร. “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์”
ลงไปถึง รองผบ.ตร. “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และรองผบ.ตร.”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” กันเลยทีเดียว
อีกคน งานนี้ ที่ต้องให้เครดิตเขาด้วย
นั่นคือ เฮียชู “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ผู้ทำหน้าที่พลเมืองดี ชี้เบาะแสเครือข่ายตู้ห่าวให้กับตำรวจ และบอกข่าวชาวพารา
ซึ่งมีทั้งตำรวจ ข้าราชการ นักการเมือง สส.และกลุ่มค้าของพรรคการเมือง คลั่กอยู่ในขบวนการ ของเถื่อน บ่อน ซ่อง ยาเสพติด และฯลฯ
เพราะอย่างนั้นน่ะซี ผมถึงบอกแต่ทีแรกว่า งานนี้ทำไมฝ่ายค้าน-เพื่อไทย จ๋อยๆ ผิดฟอร์ม ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
ถ้าเป็นม้าแข่งก็ “ดึงม้า” แหง ถ้าเป็นมวยก็ “ล้มมวย” ชัวร์
นางอะไรล่ะของพรรคเพื่อไทย….
ที่ไปเสี้ยมหน้า เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนสกุลมาใหม่ อ่านก็ยาก เห็นข่าวตู้ห่าวบริจาคพลังประชารัฐ ๓ ล้าน ก็ไม่ดูตาม้า ตากระบังลม สะแหลนแถลงฉอดๆ…
“อย่างนี้ กกต.ต้องยุบพรรค”!
ทำเอามือกฎหมาย “สายห้องแอร์” ตาหู-ตาแหก รีบแถลง “แก้ต่าง” ให้เพื่อไทย เป็นคุ้ง-เป็นแคว
ยังนึกแปลกใจ….
เอ๊ะ..เพื่อไทยทำไมมาในมาดพระเอกอันไม่เคยปรากฏมาก่อน หรือมี “ดีลลับ” กับลุงป้อม จูบปากกันแล้ว?
ไม่แค่นั้น
หัวหน้า “ชลน่าน” ยังสมทบแก้ต่างเป็นพัลวัน “เรื่อง ๓ ล้านตู้ห่าว เพื่อไทยไม่ติดใจอะไรกับพลังประชารัฐทั้งนั้น”
เหมือน “พระอาทิตย์” ขึ้นทาง “ตะวันตก” เลยนะเนี่ย!?
มาร้องอ๋อ เอาอีตอน “บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่อ” สาวไป-สาวมา
อ้าว…ตู้ห่าว มิใช่อื่นไกล…
“หลานเขย” พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง
แปลงสัญชาติเป็นไทย ก็แปลงกันในยุคนั้น!
มิน่า ธุรกิจเทา-ดำ “แก๊งตู้ห่าว” ถึง “ไฟเขียว” ผ่านตลอดจากหน่วยตรวจสอบทุกระบบของรัฐ
เฉพาะกับตำรวจด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึง ขนาดเมียตู้ห่าว “หลานสาวประชา” เป็นถึง “พันตำรวจเอก” หน่วยตรวจคนเข้าเมือง
และลูกเขยพล.ต.อ.ประชา ก็เป็นรองผบ.ตรในยุคตู้ห่าวครองเมือง เรียกว่า ตู้ห่าว เป็นทั้งตู้กับข้าว และตู้เอทีเอ็มให้ทั้งตำรวจ ทั้งนักการเมือง และพวกข้าราชการกังฉิน
มาอ้อ+อ้อออ..ชนิดโจงโปง-จางปาง ก็อีตอนตำรวจไปตรวจค้นบ้านแก๊งตู้ห่าวนั่นแหละ เพราะ๑ ใน ๔๐-๕๐ จุดที่ไปตรวจค้น คือ
อัครสถานหมู่บ้าน “แกรนด์ บางกอก บูเลอร์วาร์ด” ซอยลาซาล สุขุมวิท อันเป็นโครงการของบริษัท เอสซี แอสเสท ของ “ตระกูลชินวัตร” นั่นเอง
ไม่แปลกที่ใครจะไปซื้อบ้านจัดสรรจากบริษัทตระกูลทักษิณ แต่ที่มันแปลก จนเป็นข่าวโซเชียลแตก ก็อีตรงที่…
โครงการนี้ มี ๖๖ หลัง ขายหลังละ ๓๕-๕๐ ล้านขึ้นไป
แต่แก๊งตู้ห่าว ซื้อชนิดยกโครงการ ทีเดียว ๕๐ หลัง!?
ที่สำคัญ แปะจี้ ไม่มีแปะโป้ง!
คือจ่ายสด ตีหลังละ ๕๐ ล้าน ก็เป็นเงินสดประมาณ ๒,๕๐๐ ล้านบาท!
บริษัท เอสซี แอสเสท อยู่ในตลาดหุ้น อยากรู้ใครถือหุ้นใหญ่ เปิดดูได้…ไม่ยาก
- “แพทองธาร ชินวัตร” ว่าที่นายกฯ เพื่อไทย เจ้าของนโยบายแลนด์สไลด์ “พาพ่อกลับบ้าน” ๒๘.๘๒%
- “พินทองทา ชินวัตร “ภรรยา” นาย ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ “ประธานบริหาร” ๒๗.๘๙%
- นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ๔.๗๗% และ
- คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ อดีตภรรยานายทักษิณ ชินวัตร ๒.๗๘%
รวมแล้ว เฉพาะครอบครัวชินวัตร ถือหุ้นในบริษัทเอสซี แอสเสท รวมกว่า ๖๔%
สังคมก็เลยฮือขึ้นมา ด้วยข้อสังเกตปนกังขา ว่า….
รัฐบาลลุงตู่จะปรับปรุง “กฎกระทรวง” เรื่องให้ต่างด้าวถือครองที่ดินที่ออกสมัยทักษิณให้รัดกุมขึ้น
แต่ไฉน สายแดง, สายส้ม, สายรับจ้างเคลื่อนไหว-เอ็นจีโอ, สายชังชาติ-พิฆาตตู่ และสายสื่อสลับลาย จึงปูพรม ถล่มโพสต์
ด่ารัฐบาล “ขายแผ่นดิน…ขายแผ่นดิน”!
แต่บริษัทครอบครัวทักษิณ ขายคฤหาสน์ชนิดแทบยกโครงการ ทีเดียว ๕๐ หลังๆ ละประมาณ ๕๐ ล้านบาทให้ตู้ห่าว ด้วยเงินสด
พวกเหล่านั้น ไม่พูด ไม่แอะ ไม่แตะ ไม่แซะ ไม่แคะ ไม่คุ้ย ไม่บอกว่า “ขายแผ่นดิน” กันเลย
ทั้งที่มีพิรุธ เข้าข่ายผิดกฎหมายบานตะไท ที่ควรต้อง จี้ไช เพื่อสังคมเป็นธรรม
แต่เหมือนมีบั้นท้ายเท้ายัดปาก เงียบกันไปหมด แบบนี้ จะให้เข้าใจว่าพวกท่าน สัตย์-สุจริต-จริงใจ ต่อบทบาทหน้าที่อย่างนั้นหรือ?
เมื่อวาน (๒ ธค.) “นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร” รองอธิบดีกรมที่ดิน บอกว่า….
“เกี่ยวกับคนต่างด้าวซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรรเกือบทั้งโครงการ จากการตรวจสอบชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโครงการ
พบว่าเป็น “บุคคลไทย” ทั้งหมด!
ต้องตรวจสอบว่าคนไทยเหล่านี้ ถือแทนคนต่างด้าวหรือไม่ หากพบถือแทนคนต่างด้าว ต้องดำเนินดีต่อไป
บุคคลต่างด้าวก็มีความผิด อัตราโทษทั้งจำและปรับ ส่วนที่ดินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จะต้องจำหน่าย หากไม่จำหน่าย อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจจำหน่ายที่ดินนั้นได้”
นี่เป็นเรื่องส่วนบ้านในโครงการ “บางกอก บูเลอร์วาร์ด”
ทีนี้ พบว่าทั้ง ๕๐ หลัง ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของ มันไม่ยากหรอก ที่จะตามมาสอบถาม “ถือแทนใคร”
แต่ที่เป็นประเด็น เกี่ยวโยงไปถึงบริษัท เอสซี แอสเสท ก็ตรงที่ ทั้งหมด “ซื้อเงินสด”
คำว่า “ซื้อเงินสด” คือผู้ซื้อต้องจ่าย “เงินสดทั้งก้อน” ให้ผู้ขาย ตอนโอนโฉนดจากบริษัทไปยังชื่อผู้ซื้อ ต้องชำระภาษีเงินก้อนนั้นด้วย
ก็มีคำถามกับเอสซี แอสเสท เกิดขึ้นว่า ผู้ซื้อ หอบเงินสด กว่า ๒ พันล้านมาจ่าย หรือจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็ค?
แน่นอน เป็นไปไม่ได้ ที่ใครจะหอบเงินสดๆ ๒ พันกว่าล้านมาจ่าย คงต้องใช้แคชเชียรเช็คหรือโอนผ่านบัญชี
นั่นก็คือ จะด้วยแคชเชียรเช็ค หรือด้วยระบบไอที ต้องมีเอกสารสำเนาแคชเชียร์เช็ค หรือหลักฐานการโอนผ่านระบบอยู่ที่บริษัทและที่ผู้ซื้อยันตรงกัน
คำถามต่อไปที่ ผู้บริการเอสซี แอสเสท ต้องชี้แจง
กฎหมายกำหนด เงินสดเกิน ๒ ล้านบาท เงินทำธุรกรรมอสังหาฯตั้งแต่ ๕ ล้านขึ้นไป
ทั้งธนาคาร ทั้งบริษัท ต้องรายงาน ป.ป.ง.ตรวจสอบเพื่อป้องกันการฟอกเงิน
และนี่ การซื้อขายด้วยเงินสดมูลค่ากว่า ๒ พันล้าน ทั้งเอสซี แอสเสท ทั้งธนาคาร และ ทั้งป.ป.ง.
มีหน้าที่ต้องตอบสังคมว่า แจ้งและผ่านการตรวจสอบแต่ละขั้่นตอนตามระบบหรือไม่ และมีเอกสาร-หลักฐาน ต้องตรงกันหรือไม่
เรื่องการเงินนี่ เมื่อเข้าระบบแล้ว “ดิ้นไม่หลุด” หรอก เพราะมันไล่เช็คได้ ตั้งแต่ ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ
รู้ได้เลยว่า เป็นเงินขาวหรือเงินดำมาฟอกขาว จากใคร เป็นใครบ้าง?
เว้นอย่างเดียวถ้า “มวยล้ม-ต้มคนดู” จะกลายเป็น “เตะหมูเข้าปากหมา” ไปทันที!
แต่คดีนี้ ไม่หรอก ผม “เชื่อโจ๊ก-เชื่อต่อ” ถ้าต้มคนดู จับแต่หมู หมา กา ไก่ แต่หัวใหญ่ ระดับนายพล นายพัน และระดับรัฐมนตรี ไม่มีเกี่ยวละก็
ฉิบหายถึง “ลุงตู่” แน่นอน!
เมื่อวาน “บิ๊กโจ๊ก” ประชุมร่วมกับตัวแทนจากป.ป.ง.จากป.ป.ส.และตัวแทนจากอัยการ
ไล่เส้นทางการเงิน, การใช้โทรศัพท์ ว่าติดต่อใครต่อใครบ้าง นอกเหนือจากที่จับและที่รู้ตัวบ้างแล้ว
สรุป ตอนนี้ ที่จับไว้เป็นผู้ต้องหา ๑๐๒ คน แยกเป็น ๓ กลุ่ม
-ฐานสมคบจำหน่ายยาเสพติด เฮโรอีน และยาบ้า
-ฐานถือครองทรัพย์สินแทนบุคคลต่างชาติ และ
-ความผิดเกี่ยวข้องกับการสวมบัตรประชาชน
ที่ออกหมายเรียกเพิ่มเติมอีก ๓ คน
คือ “พัชรินทร์” ยังหลบหนี, สุชาดา และอดีตนายตำรวจระดับสารวัตร
ถ้าได้ตัว ๓ คนนี้ จะรู้แหล่งเงินของตู้ห่าวทันที เพราะเป็นกรรมการบริษัที่ตู้ห่าวเป็นประธาน
ส่วนเรื่องเครื่องบินตู้ห่าวนั้น ไปตรวจสอบแล้ว พบหลักฐานเกี่ยวกับยาเสพติด ทั้งสุนัขดมกลิ่นก็บ่งบอกว่ามียาเสพติด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝงแล้ว
กัปตันที่ขับเครื่องบินก็ให้ปากคำ
บ่งบอกได้ว่า มีนักการเมืองคนไหน ระดับรัฐมนตรีใช้เครื่องบินลำนี้บ้าง
เอาหละ…….
สรุปเรื่องให้ทราบเป็น “สารตั้งต้น” ไว้แค่นี้ก่อน
เมื่อกรรมติดจรวด….
เห็นทีหัวหน้าครอบครัวใหญ่ คงต้องเปลี่ยนเวิร์ดดิ้งที่เตรียมไว้ จาก “เราแลนด์ไสลด์แล้ว…พ่อจ๋า” ไปเป็น
“เราฉิบหายยกครัวแล้วพ่อจ๋า” ซะแล้วกระมัง?
เปลว สีเงิน
๓ ธันวาคม ๒๕๖๕