ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า-ผักกาดหอม

คำถามต่อมาคือ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้จะประคับประคองต่อไปอย่างไร?”

ก่อนตอบคำถาม “ปิยบุตร” ไปดูกรณี คลับเฮาส์ toxic กันก่อนครับ

คืนวันที่ ๔ พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีคลิปหลุดออกมาจากหลายห้องในคลับเฮาส์ อาทิ ห้องคนอีสานมีหน้าที่แค่เกี่ยวข้าวให้คนกรุงเทพฯ  หรือห้องคนอีสานคือซอมบี้ในชีวิตจริง ฯลฯ

เนื้อหาการพูดคุย เป็นการดูถูกเหยียดหยามคนอีสาน

คนอีสานส่วนใหญ่ชอบให้ลูกตัวเองไปมีสามีฝรั่ง เพราะคนอีสานทำมาหากินไม่ได้ เลยต้องไปหาทางเกาะคนอื่นกิน

คนภาคอื่นมีวิวัฒนาการมาจากลิง แต่คนอีสานมีวิวัฒนาการมาจาก  Velociraptor (ไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดหนึ่ง) ทำให้คนอีสานกินสุนัขด้วย

คนอีสาน ๙๙.๙๙ % กินหมา แล้วที่บ้านของคนพูดเลี้ยงหมา แล้วหมาหาย เลยโทษว่าคนอีสานข้างบ้านน่าจะกินไปหรือเปล่า แต่ตอนนี้เจอหมาแล้ว

ผิดที่พ่อแม่ รู้ว่าเป็นคนอีสานแล้วยังจะสืบพันธุ์กันออกมา คนเหล่านี้น่าสงสาร

คนอีสานมีลูกตั้งแต่อายุ ๑๒ ขวบ คนอีสานใจแตกมักมีลูกก่อนวัยอันควร หาพ่อไม่ได้ เพราะคนอีสานมัน-ร่าน

คนอีสานผิวคล้ำ ดำแบบสกปรก ดำแดดเพราะแบกปูน แล้วมาย้อมผมสีทองครึ่งหนึ่ง ผมสีดำครึ่งหนึ่ง

คนอีสาน กินโสโครก กินมูมมาม แจ๊บๆ

พูดถึง ลิซ่า BLACKPINK ว่า หากอีสานดี ลิซ่าคงไม่ไปอยู่ที่ต่างประเทศ

อันที่จริงการดูถูกดูแคลนคนอีสานไม่ใช่เรื่องใหม่

เป็นเรื่องเก่าที่มีมาตั้งแต่ในอดีต แต่ความรุนแรงจะไม่เท่ายุคที่มีโซเชียล

มีการพูดถึงการแก้ปัญหาเหล่านี้มาตลอด แต่ใช่ว่าจะหมดไป

เพราะปัญหานี้ฝังลึก ขนาดดินแดนแห่งเสรีภาพอย่าง อเมริกา ก็ยังมีการเหยียดสีผิว และก่อให้เกิดความรุนแรงมาเป็นช่วงๆ

บางช่วงถึงขั้นก่อจลาจลทั่วประเทศ

ปัญหาของไทยไม่หนักเท่าอเมริกา เพราะรากเหง้าของปัญหาไม่เหมือนกัน

หลายสิบปีมานี้ ละครทีวี กับการใช้ภาษาถิ่น คือหนึ่งในสาเหตุ ที่ทำให้เกิดทัศนคติเหยียดเพื่อนร่วมชาติ ทั้งโดยไม่รู้ตัว และตั้งใจ

การใช้ภาษาถิ่นในละครทีวี กับดาราระดับล่าง สาวใช้ ยาม คนขับรถ ฯลฯ นี่คือ การล้างสมองสังคมโดยไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบ

ปัจจุบันละครทีวีก็ยังมีเรื่องพวกนี้อยู่

ฉะนั้นอย่าแปลกใจหากมีเด็กๆ ไปคุยกันในคลับเฮาส์ เพราะอิทธิพลจากสื่อ เหมือนเชื้อโรค แพร่พิษกระจายไปทั่ว

ใครภูมิคุ้มกันไม่ดี ก็ถูกกินสมอง

ครับ….เมื่อ “ปิยบุตร” ให้ยอมรับความจริงว่าเยาวชนรุ่นนี้ทั้ง generation มีความคิดมองสถาบันกษัตริย์ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน ก็ต้องค้นหาความจริงว่า มีสาเหตุมาจากอะไร

หากจำกันได้ ถอยหลังไปไม่กี่ปี การพูดเรื่องล้มเจ้า จะถูกมองเป็นเพียงการปล่อยข่าวดิสเครดิตทางการเมืองเท่านั้น เพราะขบวนการล้มเจ้าแทบไม่มีตัวตน

ผังล้มเจ้า จึงกลายเป็นเพียง เรื่องขำขันทางการเมือง

ในปี ๒๕๕๑ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคลื่อนไหวเรื่องนี้ถี่ยิบ จนนักวิชาการสามนิ้วในปัจจุบันหลายคนมองว่า เป็นเรื่องของความเลอะเลือนทางสมอง

“บิ๊กจิ๋ว” ไปบรรยายพิเศษเรื่อง ยุทธศาสตร์กู้ชาติ และเข็มทิศใหม่เพื่อผ่าทางตันการเมืองไทย ที่มหาวิทยาราชภัฏสวนดุสิต เมื่อปี ๒๕๕๑  ระบุว่า

“การเผชิญหน้าเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญสามารถแก้ได้ ต้องแก้ปัญหาเผชิญหน้า อยู่ที่รัฐธรรมนูญ เอาสิ่งนี้ให้พี่น้องส่วนใหญ่ให้ประชาชนได้รู้ เมืองไทยจริงๆ มันมีขบวนการไม่หวังดี ขบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า  มีมากน้อยเท่าไร ไม่รู้ ไม่พูดกันดีกว่า

ยังมีขบวนการสาธารณรัฐ ยังมีอยู่ และยังมีกระบวนการอื่นๆ ที่เราห้ามไม่ได้”

แม้กระทั่งวันครบรอบ ๗๖ ปีในปีนั้น “บิ๊กจิ๋ว” ก็ตอกย้ำเรื่องนี้

ในงานวันเกิด มี การแจกหนังสือ “แนวทางประเทศไทย  ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี การต่อสู้เอาชนะภัยความมั่นคงแห่งชาติ สงครามเปิดโปงขบวนการ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า”

เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุเอาไว้ว่า

…ได้ทราบว่ามีกลุ่มบุคคลผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ดื้อรั้นบางกลุ่มหันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมแทนอย่างเต็มที่ โดยพยายามใช้วิธีการต่างๆ  เช่น ชุบตัวในสถาบันวิชาการ เข้าร่วมทำเศรษฐกิจทุนนิยม เข้าร่วมถืออำนาจรัฐยุยงให้ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายทุนทำผิดให้มากๆ

จึงมีการกล่าวกันว่า ปัจจุบันมีขบวนการบ่อนทำลายประเทศโดยใช้ระบบเผด็จการรัฐสภาเป็นเครื่องมือดำเนินยุทธวิธีแนวร่วม เพื่อก่อสงครามกลางเมืองเพื่อเปลี่ยนรูปของประเทศจากราชอาณาจักรไปสู่สาธารณรัฐ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นอาวุธหลัก

ด้วยเหตุ และปัจจัยของความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม ในปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม ในปัจจุบันเป็นแรงผลักดันให้ตัวกระผม และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยไม่อาจทนนิ่งเฉย

เพราะเป็นความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เป็นภารกิจแห่งชีวิตที่จะต้องดำเนินการเพื่อยุติปัญหาทั้งมวลลง โดยเฉพาะกับความเห็นที่ผิดๆ  หรือที่เรียกว่า ‘มิจฉาทิฏฐิ’ ที่ก่อตัวขึ้นเป็นขบวนการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติที่เรียกว่า ‘ขบวนการสาธารณรัฐ’ มีความมุ่งหมายและดำเนินการโดยยุทธวิธีแนวร่วมเพื่อ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า

และในฐานะที่กระผมเองได้ผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา  และเป็นหนึ่งของสมาชิกเหรียญรามาธิบดีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ได้รับพระราชทานเหรียญ ชั้นมหาโยธิน จึงขอประกาศต่อสู้กับกลุ่มบุคคลทุกกลุ่มที่กระทำการกระทบกระเทือน และเป็นปรปักษ์ต่อสถาบันหลักของชาติ และมีลักษณะรบกวนเบื้องพระยุคลบาทไม่ว่ากรณีใดๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ซึ่งปวงข้าพระพุทธเจ้าขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมจนกว่าชีวิตจะหาไม่…”

ผู้คนหาว่า “บิ๊กจิ๋ว” เพี้ยน ยิ่งเด็กๆ ไม่รู้เรื่องพวกนี้ ไม่มีสามนิ้ว

วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นวันที่ ๓๓๗ ของการเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

มีการรวบรวมตัวเลขว่า ๓๓๗ วัน มีประชาชนเข้ากราบถวายบังคม ถึง ๑๒.๗๓ ล้านคน

บรรยากาศของประเทศไทยขณะนั้น มีแต่ประชาชนผู้จงรักภักดี

แต่…อยู่มาวันหนึ่ง เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป

มีนักวิชาการในมหาวิทยาลัย เคลื่อนไหว โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์

ชื่นชอบการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นชีวิตจิตใจ

ผู้ปกครองของนิสิต นักศึกษา รับทราบเรื่องนี้จากลูกๆ ว่า อาจารย์สอนเรื่องนอกตำราเรียน อาจารย์เห็นด้วยว่า ไม่จำเป็นของลุกขึ้นยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง

มีการรณรงค์แก้ ม.๑๑๒

แก้รัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์

คน generation ใหม่ล้วนรับชุดความคิดมาจากอาจารย์ผู้สอนทั้งสิ้น

ฉะนั้น คำตอบสำหรับ “ปิยบุตร” คือ ให้ย้อนกลับไปดู “ปิยบุตร”  สมัยยังเป็นอาจารย์ สอนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  แล้วจะรู้ว่า ทำไมเด็กรุ่นใหม่ถึงมีมุมมองต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่างไปจากคนรุ่นก่อน

เมื่อสื่อโซเชียลเป็นตัวกระตุ้น ด้วยข้อมูลผิด ข้อมูลปลอม คนรุ่นใหม่จึงเลยเถิด

ครับ…ไม่ต่างจากคลับเฮาส์ toxic สักเท่าไหร่