เปลว สีเงิน
ผมมันคน “นอกวงแขน”
เรื่องอัญเชิญ “พระเกี้ยว” นั้น กะว่าพูดทีเดียวพอ!
แต่จากแถลงการณ์ “สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์” เมื่อวาน (๒๕ ตค.)
บวกกับเสียงวิพากษ์-วิจารณ์ต่อแถลงการณ์ “คณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ, นายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ (อบจ.)” ที่นายเนติวิทย์ เป็นนายกฯ
ดูๆ ฟังๆ แล้ว…
ผมว่าทั้งจุฬาฯแท้-จุฬาฯ เทียม กำลังติดเบ็ดนายเนติวิทย์ นิสิตจุฬาฯ
ที่ฉกฉวยโอกาสเชิงฉ้อฉล
นำข่าวสารภายในมาต่อแต่งมุ่งทางหมิ่นแคลนสถาบันกษัตริย์ เข้าแผนปฏิบัติการโค่นล้มคณะสามนิ้ว แล้วใช้นามจุฬาฯและความเป็น “คณะกรรมการอบจ.” ประทับ รับผิดชอบแทนตัว
ลีลา “เลาะรูลอด” แบบนี้ คล้ายๆ ที่ “ธนาธร-ปิยบุตร” ใช้อยู่!
กรณีนี้ ในความเป็นจริง เรื่องอัญเชิญพระเกี้ยว เป็นเรื่องหนึ่ง
เรื่องฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่เนติวิทย์ ฉวยโอกาสใช้นาม “คณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ” นำคนละเรื่องนั้น
แถลงการณ์ยำรวมเป็นเรื่องอำนาจนิยมในสถาบันกษัตริย์ ว่าด้วยความไม่เท่าเทียม และเรื่องสิทธิมนุษยชน
แล้วตีขลุม อ้างมติคณะกรรมการ ๒๙:๐
“เห็นควรให้มีการยกเลิกกิจกรรมการคัดเลือกผู้อัญเชิญพระ-เกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์
เพื่อยุติการผลิตซ้ำธรรมเนียมปฏิบัติที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียม มิให้คงอยู่ในสถาบันการศึกษาอีกต่อไป”
ซึ่งมันคนละเรื่องกันแท้ๆ…….
แต่เนติวิทย์ แปลงเรื่อง, ป้ายสี ให้เป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” แล้วใช้ตราสถาบันจุฬาฯ ประทับรับรองแถลงการณ์ที่บ่งเป็นปฏิปักษ์สถาบันเบ็ดเสร็จ!
นี่…ผมเห็นประเด็นตรงนี้ จากไม่ใช่ชาวจุฬาฯ อย่าเสือก แต่เมื่ออ่านแถลงการณ์ “สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ” เมื่อวาน ที่ได้ให้ข้อมูลชัดเจน
ในฐานะคนไทย เมื่อเห็นใครหมิ่นแคลนสถาบันกษัตริย์ ก็จะนิ่งเฉยไม่ได้ “ต้องเสือก”
มหา’ลัยสอนคนให้เป็นวิญญูชน
แต่จุฬาฯ กลับบ่มเพาะเลี้ยงเนติวิทย์ให้กลอกกลิ้ง ฉกฉวยกัดกินชาติและมุ่งล้มสถาบัน ช่างน่าอดสูนัก
อ่านแถลงการณ์ “สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ” แล้วจะเห็น
………………
สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์
ได้ร่วมกันสืบสานงานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ สืบเนื่องเป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477
เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ และหลอมรวมความสมัครสมานสามัคคีระหว่างนิสิตเก่า ศิษย์เก่า และนิสิต นักศึกษา ทั้งสองสถาบัน และร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับสังคมไทย
โดยทั้งสองมหาวิทยาลัย มีส่วนร่วมในการจัดงานโดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกให้กิจกรรมต่างๆดำเนินไปด้วยดี
และได้เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาเก่ามามีส่วนร่วมอยู่ในฝ่ายเชียร์ พาเหรด และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์
เพื่อสร้างประสบการณ์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รู้จักการทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคม
ทั้งยังได้ซึมซับขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของทั้งสองสถาบัน โดยสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ และสมาคมธรรมศาสตร์ฯ เป็นผู้สนับสนุน
ในการจัดงานฟุตบอลประเพณีฯครั้งที่ 75 นี้ สมาคมธรรมศาสตร์ฯ ในฐานะเจ้าภาพ ได้มีหนังสือลงวันที่ 30 กันยายน 2564
แจ้งขอเลื่อนกำหนดการแข่งขันฟุตบอลประเพณีฯ ออกไปก่อน เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโคโรน่าไวรัส 2019 ที่ยังต้องเฝ้าระวังอยู่
ซึ่งสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ก็เห็นพ้องด้วย เพื่อร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม
ทั้งนี้ การจัดงานฟุตบอลประเพณีฯ ในครั้งต่อๆ ไป สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ยังคงสืบสานให้มีการอัญเชิญพระเกี้ยว อันเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจ และความภาคภูมิใจในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยของเหล่านิสิตเก่าและนิสิตปัจจุบันทั้งมวล
สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
25 ตุลาคม 2564
………………….
จากแถลงการณ์นี้ ประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจก่อน คือ
ประเด็นแรก ฟุุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ สมาคมศิษย์เก่าทั้ง ๒ มหา’ลัย เป็นผู้จัด คือเป็นเจ้าภาพ
ประเด็นที่สอง ธรรมศาสตร์หรือ อมธ.และองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ หรือ อบจ.ไม่เกี่ยวในการจัดงาน
มีหน้าที่แค่จัดขบวนพาเหรดล้อการเมือง ขบวนอัญเชิญพระเกี้ยว และขบวนอัญเชิญธรรมจักร เท่านั้น
ประเด็นที่สาม ปีนี้ ธรรมศาสตร์เจ้าภาพ แต่เนื่องด้วยโควิด จึงแจ้งเลื่อนไปก่อน โดยแจ้งให้จุฬาฯ ทราบตั้งแต่ ๓๐ กย.๖๔
ประเด็นที่สี่ ในฟุตบอลประเพณี ปีต่อๆ ไป สมาคมนิสิตเก้าจุฬาฯ แถลงชัด ยังคงสืบสานให้มีการอัญเชิญพระเกี้ยวเช่นเดิม
มัน “ขาวกับดำ” กับที่เนติวิทย์แถลงการณ์เลย นั่นคือ ไม่มีประเด็นเกี่ยวเนื่องสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด!
ธรรมศาสตร์ “ฝ่ายเจ้าภาพ” ปีนี้
เพียงแจ้งให้จุฬาฯ ทราบว่า ฟุตบอลประเพณีปีนี้ “เลื่อนไปก่อน” เพราะโควิดเท่านั้น แถมแจ้งล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ ๓๐ กันย.๖๔
ก็ตรงตามตัว เมื่อเลื่อน ก็เท่ากับปีนี้ ไม่มีการอัญเชิญพระเกี้ยวไปด้วย
ก็หมายความว่า “คณะบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ” ที่นายเนติวิทย์เป็นนายกฯ อบจ.รับทราบข้อมูลล่วงหน้าเรียบร้อยก่อนแล้ว ๒๒ วัน
ว่าปีนี้ เลื่อนฟุตบอลประเพณีไปก่อน
นั่นเท่ากับปีนี้ ไม่มีการอัญเชิญพระเกี้ยว ก็ไม่ต้องไปต้อน ไปเกณฑ์ นิสิตคนไหน มาแบก-มาหามเสลี่ยง ตามอ้าง
แทนที่เนติวิทย์จะแถลงไปตามข้อเท็จจริง ก็รอจังหวะจนถึง ๒๓ ตุลาคม “วันปิยมหาราชรำลึก”
ก็ใช้ความฉ้อฉลในคราบนิสิต ออกแถลงการณ์ นำข้อเท็จจริงมาบิดเบือน
แต่งแต้ม เชื่อมโยงไปทางหมิ่นแคลน “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” พระผู้ให้กำเนิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มุ่งโค่นล้มชัดแจ้ง
ดังปรากฏในแถลงการณ์ของเขา ว่า……
“กิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยว สนับสนุนและสะท้อนถึงระบอบอำนาจนิยมรวมถึงค้ำยันความเชื่อว่าคนไม่เท่ากัน
รูปแบบกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวยังเป็นภาพแทนของวัฒนธรรมแบบศักดินา ที่ยกกลุ่มคนหนึ่ง สูงกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง พร้อมสัญลักษณ์ของศักดินาคือ “พระเกี้ยว” บนเสลี่ยง”
………………
กิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่ล้าหลังอันขัดต่อคุณค่าสากลอย่างประชาธิปไตย ความเท่าเทียม และสิทธิมนุษยชน
…..เห็นควรให้มีการยกเลิกกิจกรรมการคัดเลือกผู้อัญเชิญพระ-เกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์
เพื่อยุติการผลิตซ้ำธรรมเนียมปฏิบัติที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมมิให้คงอยู่ในสถาบันการศึกษาอีกต่อไป
ให้คนเท่ากัน”
ครับ….
ก็นี่แหละ เพื่อความเป็นธรรมกับจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ในภาพรวม ผมจึงต้องนำมาแจกแจงให้เข้าใจกัน ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้
นายเนติวิทย์ ฉวยโอกาสที่ปีนี้งดฟุตบอลประเพณี ซึ่งเท่ากับงดอัญเชิญพระเกี้ยวไปโดยปริยาย ไปตัดตอนตีขลุมเป็นมติของเขา
“ยกเลิกกิจกรรมการคัดเลือกผู้อัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์”
ทำเป็นเท่ให้ดูเหมือนว่า กูนี่แหละยกเลิกอัญเชิญพระเกี้ยว ความจริงก็แค่หน้าที่ “คัดเลือกคนหามเสลี่ยง” เท่านั้น!
ทั้งหมด…….
เจตนาเดียวของเนติวิทย์ ที่พลิกแพลงตะแบงเล่ ก็เป็นไปตามแนวทางที่ปิยบุตรโพสต์นั่นแหละว่า
“สภาพสังคมปัจจุบันนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงได้อย่างสันติ”
ก็ไปให้ตลอดรอดฝั่งนะ…เนติวิทย์!