เปลว สีเงิน
ผลโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันเสาร์ ๑ นายกฯ ๕ รัฐมนตรี “สอบผ่าน”
แต่ที่หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ข่าวโทรทัศน์แทบทุกช่อง พาดหัวคือ
นายกฯ ได้คะแนนไว้วางใจ ๒๖๔ “รองบ๊วย”
แต่คะแนนไม่ไว้วางใจ ๒๐๘ “นำโด่ง”!
ที่ขับเน้นประเด็นนี้ เจตนาดิสเครดิตนายกฯ หรือต้องการสื่อให้ชาวบ้านเข้าใจทางนัยยะไหน ผมไม่ทราบ
ในมุมผม เท่าที่ดู คะแนน ๒๖๔ ของนายกฯ
มันเป็นคะแนนตอบโจทย์ “รักซ่อนเล่ห์” ของแต่ละคน-แต่ละพรรค ในโหวตการเมืองเ รื่อง ตัณหา รัก-แค้น ริษยา อามิส เพื่อการช่วงชิง ของ ๔๗๘ คน ในสภามากกว่า
ไม่ใช่คะแนนที่เป็นคำตอบโจทย์การเมืองเยี่ยงวิญญูชนในสภาพึงโหวต บนฐานวิตก-วิจารณ์ จากเรื่องราวและข้อมูลที่ได้รับฟัง
พูดให้ตรงตัว คือ…
คะแนนโหวตให้นายกฯ เมื่อวันเสาร์ มันเป็นเพียงคะแนนตอบตัณหาคนการเมือง “ในสภา”
ไม่ใช่คำตอบสะท้อนความไว้วางใจจากประชาชน “นอกสภา” หลายๆ สิบล้านคน ตามบ้าน-ตามเมือง ตามทุ่งหญ้า นา ไร่ ที่มีต่อนายกฯ
ที่ฝ่ายค้านเปิด “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายกฯ
ไม่ใช่เพราะมีหลักฐานพบนายกฯ หรือรัฐมนตรี “ผิดพลาด-บกพร่อง” ร้ายแรง ชนิดที่ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้ ต้องให้ออกไปวันนี้-เดี๋ยวนี้
แต่เปิดเพราะ….
ต้องการใช้เป็นเงื่อนไข สู่ปฎิบัติการในสภา ประสานแผน “ปฎิรูปแบบปฎิวัติ” สู่การโค่นล้มสถาบัน
คู่ขนานไปกับ…
สามนิ้ว, นักวิชาการ, จานมหา’ลัยแอบจิต และแก๊งรับจ้างจัดอีเวนท์โจรกลุ่มหนึ่ง ที่เคลื่อนไหวในถนน ตามโรดแมป “ปิยบุตร-ธนาธร” และ “โทนาฟ”!
การจะล้มสถาบันได้……
ด่านแรกที่ขบวนการสามนิ้วในสภา-นอกสภาต้องทำให้สำเร็จก่อน คือ
การกำจัด “ประยุทธ์” ให้พ้นไปจากการเมืองก่อน!
เพราะฝ่ายค้านไม่ใช่ควายเนื้อๆ รู้ยิ่งกว่ารู้ ที่ยุคทักษิณเหนียว ฝ่ายค้านล้มไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะ ให้โกงแบ่งกัน
เมื่อมีคนจากระบอบทักษิณไปเป็นใหญ่ในพลังประชารัฐ และนำสูตรโกงแบ่งกันไปปรับใช้ เป็นสูตร “แจกกล้วย”
จึงเห็นช่องทาง….
ล้มประยุทธ์ด้วยเสียงโหวต No Way!
ดังนั้น “พาร์ทเนอร์ชิพ” กับ “คนแจกกล้วย” จึงเป็นดีลที่เกิดขึ้น ซึ่งก็เกือบจะได้ผล
เผอิญฝนตกหนักไปหน่อย หน่อพันธุ์ที่ตอนไว้ รำไรๆ จะกลายพันธุ์ สำลักน้ำปุบปับ ตายเกลี้ยง
เพราะอย่างนี้ จึงเห็น ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายเองแท้ๆ แต่ด้วยมั่นใจแผนพาร์ทเนอร์ชิพ จึงไม่มีเรื่องใหม่-ประเด็นใหม่-ข้อมูลใหม่ใดๆ มาอภิปรายเลย
“ขุดกรุหนังเก่า”ฉายแล้ว-ฉายอีก
มีใหม่ตรง ปั้นเรื่องเท็จ และหยาบช้าด่านายกฯแบบถ่อย-สถุลหนักขึ้นเท่านั้น
สรุป คือ เปิดอภิปรายให้เป็นพิธีกรรม
เพื่อ “คนใน” ซีกรัฐบาล โดยเฉพาะพลังประชารัฐ สาย “นิยมกล้วย” ใช้เอกสิทธิสส. “โหวตล้ม” ประยุทธ์เนียนๆ
ล้มแล้ว ยังจะได้รับเชิดชูเป็น “สส.ประชาธิปไตย” เดินตามบรรทัดรัฐธรรมนูญ พรรคหรือใคร ว่าได้ แต่ทำอะไรไม่ได้!
วิมานในอากาศเริดมากกก
รัฐบาลใหม่ “พลังประชารัฐ+เพื่อไทย” ประชาธิปัตย์หรือภูมิใจไทยอีกซักพรรคมาทัดหู แค่นั้น ก็ฝันเปียก-ฝันแฉะ
แต่เผอิญ พระไม่เข้าข้าง….
มีแต่จิ้งเหลือง ๒ ตัวเข้าข้าง แผนใช้กล้วยล่อกล้วย จึงสภาพพพพ!!!!
เดี๋ยวจะว่าหลับหู-หลับตาเป็น “หน้าม้านายกฯ” ตะพึด ฟังที่เป็น “หน้าประชาชน” เขาสะท้อนความเห็นการอภิปรายของฝ่ายค้านบ้าง
ผู้ใช้นามว่า erk เขาแชร์มา ดงนี้……
สรุปสาระสำคัญที่ได้จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
1.ผู้นำฝ่ายค้าน ทำให้คนไทยทราบว่า นายกรัฐมนตรี ชื่อ พลเอกประยุทธ์ ยงใจยุทธ
2.พรรคฝ่ายค้าน ใช้เอกสารราชการปลอม อภิปรายโจมตีการทำงานของกองทัพไทย
3.พรรคฝ่ายค้าน นำคลิปตำรวจทุบรถประชาชนสมัยชุมนุม กปปส เมื่อปี 2557 มาโกหกว่า เป็นการกระทำของตำรวจ คฝ.ในปัจจุบัน
4.พรรคฝ่ายค้าน นั่งนับว่า นายกรัฐมนตรี สูดน้ำมูกไป 98 ครั้ง
5.ส.ส.พรรคก้าวไกล “ฉะ” ส.ส.พรรคก้าวไกล ด้วยกันเองกลางสภา
6.ส.ส.พรรคเพื่อไทยลุกขึ้น “ฉะ” พรรคเพื่อไทยว่าไม่มีแล้วอุดมการณ์ กลางสภา เพราะปิดกั้นไม่ให้แกอภิปราย
7.ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน อภิปรายว่ารัฐบาลทำไมไม่ใช้วัคซีนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) รับรอง
ใช้ “ซิโนแวค” ชาวต่างชาติเขาจะเชื่อมั่นไหม …ทั้ง ๆ ที่ WHO เขารับรองวัคซีนซิโนแวค มาตั้งนานแล้วลุง
8.ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นตะโกนกลางสภา ว่า นายกฯ แจกเงินให้ ส.ส.คนละห้าล้านบาท ที่ชั้นสาม โดยไม่ได้มีหลักฐานอะไรเลย
9.พรรคฝ่ายค้าน สรุปการอภิปราย โดยเอาภาพการขนกระเป๋าขึ้นมา แล้วบอกว่าจะไม่พูดอะไร พร้อมส.ส.พรรคฝ่ายค้านกระจุกหนึ่ง ทำเสียงประกอบภาพว่า “โห้ยย”
ทั้ง ๆ ที่เขาก็เปิดให้ดูแล้วว่า นั่นมันกระเป๋าขนเอกสาร ไม่ใช่กระเป๋าขนเงิน
10.นายกรัฐมนตรี ตอบฝ่ายค้านเรื่องการแจกเงินห้าล้านบาทว่า “ผมไม่ทำบ้าบ้าบอบอ แบบนั้น ผมไม่ทำถุงขนมอยู่แล้ว”…
ทำให้นึกถึงคดีถุงขนม 2 ล้านบาท เป็นการกระทืบแผลเก่าคดีที่ทำให้ทีมทนายของ “พี่โทนี่” ติดคุกมาแล้วเลย
………………….
นักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรไทย มีคุณภาพคับแก้วขนาดนี้ สรุปได้เลยว่า
สิ่งที่เรียกว่า “ลุงตู่” คือ สิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับการเมืองไทยยามนี้
………………….
ดังนั้น ให้ “ลุงตู่” แกอยู่ต่อไปเถอะครับ
………………….
เพราะนึกภาพว่า ถ้านักการเมือง “เหล่าที่กล่าวมานั้น” เรืองอำนาจขึ้นมาได้ ประเทศไทยคงบรรลัยแน่นอน
CR:จับสัญญานการเมือง
ครับ….
ระบบเลือกตั้งยุคนี้ เป็นแค่ “สิ่งเทียมประชาธิปไตย” แต่อ้างประชาธิปไตยกัน และสส.ทึกทักเป็น “ตัวแทนประชาชน”
ดังนั้น อะไรๆ ที่เป็นผลิตผลสภา จึงดูเป็น “ของเทียม” ไปหมด!
แล้วจะยังไงกันต่อ?
เคย “หลงป่า” มั้ย ถ้าเคยจะรู้
เมื่อหลง ก็หลงทั้งทางที่มาและทางที่ไป การถอยหลังกลับที่เดิม กับการเดินลุยไปข้างหน้า “ค่าเท่ากัน”
ฉะนั้น เมื่อหลงป่าประชาธิปไตยแล้ว ก็ต้องลุยไปข้างหน้า ทางออกอยู่ที่ ลุยไป…พัฒนาสองข้างทางไป
ปรับแต่งแก้ไขรอบตัว-รอบข้างไป ช้าง ม้า วัว ควาย ผู้คนร่วมทุกข์-ร่วมทาง-ร่วมลุย ดูแลเอื้อเฟื้อสุข-ทุกข์กันไป
มีคน ก็มีระบบ มีระบบ ก็มีบ้านเมือง มีบ้านเมืองก็มีสังคม เมื่อมีสังคม ก็มีความหลากหลายทางต้องการ เมื่อมีต้องการ ก็ต้องมีบริหาร-จัดการ
อะไรคือ “บริหาร-จัดการ”?
บริหาร-จัดการ คือ “การเขย่าขวด” อย่าให้ระบบ-ระบอบ-บ้านเมืองและกลไก “นอนก้น” ถ้าปล่อยนอนก้น-ตกตะกอน นั่นคือที่เรียกว่า “หมดอายุ”
ระบบบริหารราชการงานเมือง ระบบกฎหมาย-กฎระเบียบ กระทั่งระบบศึกษา ต้นทางทรัพยากรบุคลากรปัญญา ของไทยเราถึง ณ ยุคนี้ วันนี้
ผมว่ามัน “ตกตะกอน-นอนก้น” แล้วนะ สส.ในสภาวันนี้ก็ดี ขบวนการล่มชาติ-ล้มสถาบันในถนนก็ดี
ที่เห็น-ที่เป็น สืบเนื่องจาก ไทยเราอยู่สุข-อยู่สบายมาช้านาน จำเจกับสุขสบายซ้ำซากกันจนเบื่อ
เพราะไม่มีการ “เขย่าขวด” ทางระบบบริหาร-จัดการ ตามทิศทางที่เหมาะสมแต่ละช่วงนั่นแหละ
ปฏิกริยาเบื่อเก่า-อยากได้ของใหม่จึงเกิดขึ้นแต่ละช่วงเวลา ไม่เฉพาะบ้านเรา ทุกบ้าน-ทุกเมืองในโลก เหมือนกันหมด
นายกฯ คะแนนบ๊วยนี่แหละ “คุณมหันต์” ทางสะท้อนให้เห็น ป่าในเส้นทางปัจจุบัน ป่าที่จะลุยไปข้างหน้าสู่อนาคต และทำให้เห็นทะลุหมด…
ทั้งคนพลังประชารัฐ คนเพื่อไทย คนประชาธิปัตย์ คนภูมิใจไทย คนพรรคเล็ก-พรรคใหญ่
รวมทั้งระบบสภา ระบบสังคม ระบบข้าราชการ ระบบสามนิ้ว-ห้านิ้ว
เห็นนายกฯ บอก “ไปต่อ”
ถ้าจะไปต่อ ก็ต้องคิดเรื่อง “เขย่าขวด” และต้องเขย่าตั้งแต่ตอนนี้!