ผักกาดหอม
เกือบดีครับ…
แต่เหลว เพราะพูดความจริงไม่หมด
คืนวันพุธฟัง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อภิปรายไม่ไว้วางใจ พยายามจับประเด็นตามทุกคำพูด ถ้าเป็นกองเชียร์พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า ยกให้ ๑๐ นิ้วเลยครับ
สำหรับคนที่ฟัง “พิธา” กลัดกระดุมบ่อยๆ ก็พอจับจังหวะจะโคนได้ว่า…แค่พูดเก่ง
เนื้อหาที่อภิปรายเรื่องวัคซีนและลีลาหากลงลึกจริงๆ แล้ว “พิธา” ก็ไม่ได้ต่างไปจากนักการเมืองคนอื่นๆ คือพูดด้านเดียว ไม่น่าเชื่อถือ
และมิได้มีวิสัยทัศน์ตามคำพูดที่ออกมา
ในการอภิปรายเรื่องการจัดหาวัคซีนของรัฐบาล “พิธา” อ้างอิงเอกสารระหว่างประเทศหลายชิ้น พร้อมแบ่งช่วงเวลาความผิดพลาดของรัฐบาลเป็น ๓ ช่วง
พฤศจิกายน ๒๕๖๓
เมษายน ๒๕๖๔
มิถุนายน ๒๕๖๔
“…ผมกล่าวหาว่ารัฐบาลนั้นตั้งใจที่จะเทวัคซีนคุณภาพทิ้งลงกลางอ่าวไทย และกล้าพูดเลยว่ารัฐบาลเทไมตรีจิตของวัคซีนคุณภาพทิ้งกลางอ่าวไทย
และแทนที่รัฐบาลจะตาม Pfizer แต่ Pfizer กลับต้องตามรัฐบาลไทย
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ Pfizer แจ้งหน่วยงานในต่างประเทศของไทยว่าไม่ได้รับการตอบกลับจากกรมควบคุมโรค และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ที่ติดต่อไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓
แทนที่รัฐบาลอื่นเขาต้องตามวัคซีน เพราะเป็นความต้องการ โดยรัฐบาลที่ทำเต็มที่จะต้องเป็น
เช่นรัฐบาลของประเทศอิสราเอลที่โทร.ตามหา CEO ของ Pfizer มากกว่า ๓๐ ครั้ง
นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นบินไปหา CEO ของ Pfizer ด้วยตนเอง
ทุกคนต้องการวัคซีนคุณภาพ วัคซีนที่หลากหลาย และวัคซีนที่พอเพียง
แต่รัฐบาลไทยอย่างน้อยที่สุดก็คือเกียร์ว่าง อย่างมากที่สุดคือเฉยเมย
ท่านตั้งใจที่จะไม่พิจารณาม้าตัวนี้เลย ซึ่งไม่ใช่การแทงม้าเดียว แต่เป็นการล็อกผลม้า ตั้งใจที่จะเทวัคซีนคุณภาพทิ้งลงกลางอ่าวไทยเต็มๆ Pfizer ต้องมาตามว่าคุณจะเอาหรือไม่
แค่นั้นไม่พอ ในวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ไทยหารือกับ Pfizer เป็นครั้งที่ ๒ ที่บริษัทขอให้ประเทศไทยเร่งพิจารณาตัดสินใจโดยเร็วภายในปี ๒๕๖๓ Pfizer แทบจะใส่พานให้รัฐบาลไทยเลยด้วยซ้ำ…”
ถ้าข้อเท็จจริงมันเป็นตามนี้ ทุกคนฟังแล้วเดือดครับ
ผมก็เดือดครับ!
เพราะมันเท่ากับรัฐบาลทรยศประชาชน
แต่ “พิธา” ตั้งใจพูดไม่หมด
จะด้วยเจตนาหรือไม่ มิทราบ ผลของมันคือสร้างความสับสน ประชาชนที่ไม่ได้รับรู้ข้อมูลมาโดยตลอด ร้อยทั้งร้อยต้องด่ารัฐบาลสาดเสียเทเสีย
แล้วความจริงคืออะไร?
การใช้คำว่า “เทวัคซีนคุณภาพทิ้งลงกลางอ่าวไทย” ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ ต้องตั้งคำถามไปยัง “พิธา” ว่า โลกใบนี้มีวัคซีนโควิดใช้เมื่อไหร่
สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกของโลกที่เริ่มฉีดวัคซีนที่พัฒนาโดย Pfizer และ BioNTech ให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงอย่างเป็นทางการ
“มาร์กาเรต คีแนน” คุณยายวัย ๙๐ ปี ชาวอังกฤษ เป็นคนแรกที่ได้รับวัคซีน Pfizer โดสแรก ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๖.๓๑ น.
ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งประวัติศาสตร์
แล้วทำไม “พิธา” บอกว่า ไทยเทวัคซีน Pfizer ทิ้งตั้งแต่เดือนสิงหาคม
ครับ…นี่คือพฤติกรรมของผู้เชี่ยวชาญหลังหวยออก
เดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ โลกนี้ยังไม่มีวัคซีนโควิดออกสู่ท้องตลาด
แต่อยู่ระหว่างทดลอง
Pfizer เริ่มทดลองระยะที่ ๑ เดือนเมษายน ๒๕๖๓ ในเยอรมัน
และเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน
เดือนพฤศจิกายน ยังอยู่ในการทดลองระยะ ๓
รัฐบาลไทยโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนาม ในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด AstraZeneca เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
แต่ก่อนนั้นคือ เดือนตุลาคม มีดีลระหว่างกระทรวงสาธารณสุขของไทย สยามไบโอไซเอนซ์ และ AstraZeneca โดยการประสานของเอสซีจี
๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัท AstraZeneca ได้ประกาศผลในระหว่างการทดลองระยะที่ ๓ ว่าประสิทธิภาพของวัคซีน AstraZeneca เป็นไปด้วยดี
ถ้าเข้าใจไทม์ไลน์นี้จะเข้าใจว่า “พิธา” ลักไก่ พูดว่าไทยเท Pfizer วัคซีนคุณภาพทิ้งลงกลางอ่าวไทยเพื่ออะไร
การพูดถึง Pfizer คนฟังที่คิดน้อยจะคล้อยตามได้ง่าย
ช่วงระหว่างกลางปีถึงปลายปีที่แล้ว ไม่มีใครมีข้อมูลชัดเจนหรอกครับว่า วัคซีนยี่ห้อไหนเทพกว่ากัน
ไทยเลือกจับมือกับ AstraZeneca โดยไม่ดีลกับบริษัทอื่น ก็เหมือนสิงคโปร์ดีลกับ Pfizer บริษัทเดียวโดยไม่มีดีลอื่น
ถามว่า สิงคโปร์แทงม้าตัวเดียวหรือเปล่า
ฉะนั้นอย่าเอาปัจจุบันไปตัดสินเหตุการณ์ในอดีต แล้วโจมตีรัฐบาลว่า คิดไม่เป็น มองอนาคตไม่ออก ไม่เหมาะให้บริหารประเทศต่อไป
ดูอเมริกาเป็นตัวอย่าง ช่วงต้นปีขนาดมีวัคซีนเทพ เขาก็คาดการณ์สถานการณ์โควิดไม่ได้ว่าจะพัฒนาไปถึงไหน
วันนี้อเมริกันถึงได้ป่วยกว่า ๔๐ ล้านคน เสียชีวิตใกล้จะ ๗ แสนคนแล้ว
ถ้า “พิธา” คิดว่าตัวเองเจ๋ง มองอนาคตทะลุปรุโปร่ง
งั้นไปดูกันว่าจริงหรือเปล่า
ในการอภิปรายไม่ไว้วางเมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา “พิธา” อภิปรายเรื่องวัคซีนเช่นกัน
“…คนไทยจะกลับมาทำมาหากินได้ต้องมีวัคซีน ทั่วโลกตอนนี้ฉีดไปแล้ว ๑๘๖ ล้านเข็ม แต่ยังไม่มีคนในประเทศไทยได้แม้แต่คนเดียว
วัคซีนคือความมั่นใจ คือเศรษฐกิจปากท้อง ในเอกสารที่ท่านรัฐมนตรีสาธารณสุขเขียนไปของบกลาง ๑ พันล้านบาท ก็ระบุไว้ชัดเจนว่าได้วัคซีนเร็วขึ้น ๑ เดือน จะได้มูลค่าเศรษฐกิจ ๒.๕ แสนล้านบาทคืนมา ตอนนี้วัคซีนช้า เสียหายเดือนละ ๒.๕ แสนล้านบาทเช่นกัน
เราต้องถามว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบ?
ซ้ำร้าย รัฐบาลยังประมาทเลินเล่อ เดิมพันทุกอย่างที่มี ทุ่มกับวัคซีนยี่ห้อเดียว จากบริษัทเดียว ไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่บริหารความเสี่ยง ไม่กล้าตัดสินใจ และถ้าล่าช้า ผิดพลาด หรือไม่ได้ผล ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ที่ต้องรับผิดชอบแน่ๆ ก็คือ พล.ประยุทธ์ เพราะในวันนี้ที่ไทยได้วัคซีนช้าเกินไป น้อยเกินไป เสี่ยงเกินไป…”
ไม่มีคำว่า Pfizer สักคำ
เพราะอะไร
เพราะขณะนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าวัคซีนยี่ห้อไหนประสิทธิภาพดีกว่ากัน
และวันนั้น “พิธา” ให้น้ำหนักการอภิปรายเรื่อง การแก้ ม.๑๑๒ แก้รัฐธรรมนูญมากกว่าวัคซีนเสียด้วยซ้ำ
ก็หมายความว่า “พิธา” ณ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ไม่ได้มีความรู้เรื่องโควิดและวัคซีน เท่า “พิธา” ในวันนี้
แต่ “พิธา” กลับเอาความรู้เรื่องโควิดและวัคซีนในวันนี้ ไปตัดสินเรื่องโควิดและวัคซีนเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓
ถาม “พิธา” ว่า สามารถคาดการณ์ล่วงหน้า และวางแผนรับมือโควิดที่จะเกิดในปีหน้าได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มโดยไม่มีความผิดพลาดได้หรือไม่
ความรู้ใหม่ๆ เรื่องวัคซีนโควิดมีเข้ามาเกือบทุกวัน
ผลการศึกษาล่าสุดจากอเมริกาพบว่า วัคซีน Moderna สามารถป้องกันไวรัสเดลตาดีกว่า Pfizer
ถามว่า “พิธา” รู้เรื่องนี้ล่วงหน้าหรือเปล่า
ติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกแล้ว.