เปลว สีเงิน
วันนี้…
“วันเฉลิมพระชนมพรรษา” ๖๙ พรรษา
“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาล ที่ ๑๐ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ของทุกปี
เมื่อ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ………
ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยศูรยพิมาน ในการออกมหาสมาคม พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
“พระปฐมบรมราชโองการ” แห่งพระองค์ที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ณ มหามงคลกาลนั้น ยังฝังจำอยู่ในใจ
“เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”
จากวันนั้น…..
พระราชปณิธานของพระองค์ ผลประจักษ์ต่อแผ่นดินแลอาณาประชาราษฏร์
ทั้งสืบสาน-รักษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ในความเป็นองค์เอกอักครศาสนูปถัมภก ทรงให้การอุปถัมภ์กิจการศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม เคร่งครัด-เข้าถึง
ทั้งบูรณะ-ซ่อมแซม-ปรับปรุง ศาสนสถาน โบราณสถาน โบราณวัตถุ เกาะรัตนโกสินทร์ อาคาร คู คลองต่างๆ
ทั้งทรงจัดระเบียบบ้านเมือง….
ย้ายสวนสัตว์ไปอยู่พื้นที่กว้างใหญ่ อำนวยต่อวิถีชีวิตสัตว์ตามธรรมชาตินอกเมือง
เมื่อเสร็จสมบูรณ์ “แห่งใหม่” จะเป็นสวนสัตว์ “วนารมย์” สมประสานสุข ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งธรรมชาติ
เพื่อประชาชน เยาวชน นักท่องเที่ยว เข้าชม และเรียนรู้ ที่สมบูรณ์แบบ
ทรงย้าย “สนามม้านางเลิ้ง” ออกไป
ซึ่งที่ดินผืนนี้ เนื้อที่กว่า ๒๐๐ ไร่ เป็น “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ราชตฤณมัยสมาคมเช่าทำสนามม้า สนามกอล์ฟมายาวนาน
เมื่อหมดสัญญา ไม่มีพระราชประสงค์ให้เช่าต่อ ทรงนำที่ดินกว่า ๒๐๐ ไร่นั้น แปลงจากสนามม้าเพื่อคนเฉพาะกลุ่มเป็น “สวนสาธารณะ” เพื่อพสกนิกรทั้งแผ่นดินได้ใช้เป็นรมณียสถานแห่งชีวิตคุณภาพ
พูดกันชัดๆก็คือ………
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนำที่ดินทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่ราชตฤณมัยสมาคมเช่ากลับคืนมา
รื้อทิ้งสนามม้า สนามกอล์ฟ อะไรมิต่ออะไร ออกไปทั้งหมด
แล้วทำเป็น “สวนสาธารณะ” ให้ประชาชนใช้ เพิ่มสีเขียวเป็นปอดให้คนกรุงเทพฯ
ที่สำคัญยิ่ง สวนสาธารณะ ๒๑๖ ไร่ ที่จะได้เข้าไปใช้-ไปชื่นชมกันในปีหน้า ๒๕๖๕ นี้
ยังเป็นสถานที่ตั้ง….
พระบรมราชานุสาวรีย์ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙”
กราบเบื้องพระบาท ด้วยปลาบปลื้ม ปีติยินดี นับเป็นของขวัญล้ำค่าที่พระองค์ทรงมอบให้ “ไทยทั้งแผ่นดิน” อันสุดสรรคำใดเอ่ยต่อการสืบสาน-รักษา “รากรัก” ของลูกๆ ทั้งแผ่นดิน ที่หยั่งลึกพันผูกต่อพ่อบนฟ้าอันยากถอน
พระบรมราชานุสาวรีย์ นี้ ….
จะเป็นสายใยสืบสานความจงรักและคิดถึง “พ่อบนฟ้า” นั้น ทั้งรักษาความผูกพัน “พระภูมิพล”พ่อของแผ่นดินกับลูกๆ ทุกคนคือพสกนิกร ไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย
คิดถึงพ่อ ก็มีที่ให้มากราบ ให้มาถวายราชสักการะ ให้มาคุกเข่าแหงนหน้ามองดูพ่อ
เป็นพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ สุดหาสิ่งใดเปรียบแล้ว
กล่าวย่นย่อถึงการ “สืบสาน-รักษา” แล้ว มิแค่นั้น ธ ยังทรงต่อยอดการสืบสานด้วยพระวิสัยทัศน์กอปรน้ำพระทัยเมตตาอีกหลายกรณี
เช่น สร้างสวนสาธารณะแล้ว….
ยังทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยต่อไป ถึงด้านความสะดวกของประชาชนที่จะมาพักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกายในสวนแห่งนี้
จึงทรงให้สร้างที่จอดรถใต้ดิน ๓ ชั้น รองรับรถยนต์ได้ประมาณ ๗๐๐ คัน
และมีอะไรบ้าง ที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชนแล้วที่พระองค์จะไม่ทรงทราบ?
ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายพระเนตร
กระทั่ง “โรงพยาบาลรามาธิบดี” แต่ละวัน ผู้เจ็บป่วยและประชาชนเดินทางไปหาหมอทะลักล้น แต่สถานที่จอดรถ เป็นปัญหามาก
จึงทรงให้สร้าง “อาคารจอดรถ” โรงพยาบาลรามาธิบดีด้วย
เท่านี้ก็ว่าครอบคลุมด้าน “อำนวยสะดวก” ในความเป็นสวนสาธารณะเกินพอแล้ว
แต่พระองค์ยังทรงมองไกล-มองทั่วถึงไปมากกว่านั้น ถ้าทุกอย่าง มุ่งแต่ใหม่..ใหม่..แล้วเก่า คนเคยอยู่อาศัย คนเคยทำมาหากินแถบถิ่นดั้งเดิม จะทำยังไง เมื่อบริเวณนั้นเปลี่ยนไป?
ก็ทรงมีพระราชดำริ ให้มีพื้นที่ร้านค้า “ชุมชนนางเลิ้ง” อยู่ในสวนสาธารณะ ๒๐๐ กว่าไร่นั้นด้วย
มาดูทางด้าน “ครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” บ้าง
แทบไม่จำเป็นต้องเอ่ยอ้าง อันชนทั้งหลายผู้เจริญแล้ว มีมโนธรรมสำนึกเป็นคุณสมบัติ รู้ผิดชอบ-ชั่วดี ย่อมซึมซับรับรู้ได้ว่า
นับแต่ ธ ขึ้นครองแผ่นดิน เด่นชัดว่าในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ปฏิปทาในทางทศพิธราชธรรมครัดเคร่ง
ทั้งยังอาราธนาพระวิปัสสนาจารย์มากล่าวธรรม พร้อมบำเพ็ญจิตสมาธิภาวนาเพิ่มพูนพระมหาบารมีปกแผ่นดินเพื่อแผ่ไปยังอาณาประชาราษฏร์
ทาน, ศีล, บริจาค, ซื่อตรง, อ่อนโยน, ความเพียร, ความไม่เบียดเบียน
ตลอดถึง อักโกธะ “ความไม่โกรธ”
ขันติ “ความอดทน” และ
อวิโรธนะ “ความเที่ยงธรรม” คือ ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก
นี้ เป็นตบะบารมี…..
อันพระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรยวดยิ่ง ผ่านเรื่องราวกล่าวร้ายหลายหลาก ประหนึ่งมารทดสอบในเส้นทางทศธรรม
กรณีเช่นนี้ มิเพียง “พระมหากษัตริย์”
แม้ “พระพุทธองค์” ก็ยังมิวายถูกมารขวางกั้น ขณะทรงบำเพ็ญเพียรเคี่ยวกรำจิตสู่ทางวิมุติ ก่อนจะตรัสรู้เป็น “พระสัพพัญญู”
เป็นที่รับรู้ทั่วไป นับแต่ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ทรงขึ้นครองแผ่นดิน
พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ก็คือลูกๆ ของพ่อ-ของแผ่นดิน ดังนั้น ยามใดประชาชนประสบทุกข์ภัย
ยามนั้น ความช่วยเหลือจากพระองค์ในรูปแบบต่างๆ จะไปถึงทันที โดยเปิดเผยบ้าง ไม่เปิดเผยบ้าง
จะสังเกตเห็น ในหลายๆ เรื่อง ยามคับขัน เช่น กรณีช่วย ๑๓ หมูป่าติดถ้ำที่เชียงราย ปรากฏว่า เครื่องมือ-อุปกรณ์บางอย่างไม่สามารถหาได้
จู่ๆ สิ่งนั้นก็มีมาปานปาฏิหาริย์ ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า ก็ไม่มีใครทราบว่า อุปกรณ์-เครื่องมือหายากเหล่านั้น มาจากไหน และก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบตรงๆ ทางข่าวสารได้
ต่างๆ เหล่านั้น ล้วนพระองค์ทรงติดตามเหตุการณ์ ทรงสดับตรับฟังข่าวสารโดยตลอด
เมื่อทรงทราบ ก็ทรงจัดหาส่งไปทันที-ทันใด โดยไม่มีพระประสงค์ให้เป็นข่าวคราว
ในเหตุการณ์โรคระบาดขณะนี้ ทุกข์ภัยประชาชน ก็คือทุกข์พระราชหฤทัยของพระองค์ พสกนิกรทุกข์ พระองค์ก็ทรงทุกข์ และทรงหาทางช่วยทุกวิถีทาง
ทรัพย์พระราชทานไปโรงพยาบาลต่างๆเพื่อการนี้ สุดที่จะนับถ้วน นั่นแค่ส่วนหนึ่ง ยังอุปกรณ์-เครื่องมือ-รถตรวจโควิด ขาดแคลนที่ไหน ทรงจัดหาไปเสริมทุกแห่งหน
ยามลูกมีทุกข์ “พ่อ” ทุกคน มีความรู้สึกอย่างไรกับลูก ฉันใด
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” กับพสกนิกรของพระองค์ยามนี้ ก็ฉันนั้น
ความรู้สึก “คนเป็นพ่อ” นั้น ลูกไม่ต้องรักพ่อก็ได้
แต่ขอให้ลูกรู้ว่า “ในความเป็นพ่อ”…
แค่พ่อเห็นลูกพ้นทุกข์ ไร้โพยภัย แค่นั้น ใจพ่อก็ “สุขเกินพอ” แล้ว
เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ๒๘ กรกฏาคม นี้
ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า เปลว สีเงิน หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์