เปลว สีเงิน
เรา “เรียนตามตำรา” กันซะชิน
ครั้นลุงยง “ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ”
ประกาศ “สร้างตำรา” ให้โลกเรียน
นำวัคซีน “ต่างสายพันธุ์” ฉีดสลับเข็มสู้ “เดลตา” เท่านั้นแหละ
พวก “เต่า” ที่หัวไม่เคยยืดพ้นกระดอง “โวยกันขรม”
“ไม่ได้ อันตราย เป็น-ตาย ใครรับผิดชอบ WHO ห้าม”!
ในขณะที่ พลโลก ๖,๐๐๐ ล้านคน ลูกตา ๑๒,๐๐๐ ล้านคู่
จ้องเขม็งดูไทย “สูตรต้มยำ” โดยวิทยาการแพทย์ไทย ไม่อันตราย สามารถ “ต้านเดลตา” ได้สำเร็จจริงหรือไม่?
ถ้าไทยทำได้สำเร็จ
โลกก็จะได้นำสิ่งที่แพทย์ไทยศึกษา-ค้นคว้า-ทดลองสำเร็จนี้เป็นตำรา “เรียนตาม-ทำตาม” เป็นการต่อยอดทางวิชาการและปฏิบัติการ “เพื่อมนุษยชาติ” ต่อไป
พูดง่ายๆ “วัคซีนต้มยำ” สูตรลุงยง โลก “เขม็งมอง”
ไม่วิจารณ์ด้านทอนกำลังใจวิถีคนกล้า เพียงจ้องดูการขยาย “ขอบกะลาทางวิชาการ” ของลุงยง ให้ขยายกว้างออกไปเงียบๆ
มีแต่บางไทย-บางสื่อเท่านั้น….
อะไรที่ทำให้ประเทศและคนไทยนำโลกได้บ้าง รัฐบาลพลอยมีหน้า-มีตาบ้าง กูต้องต้าน-ต้องค้าน ต้องขัดขาไว้ก่อน
เพราะปล่อยไป มัน “ดีเกินหน้า” แล้วกูจะ “แหกตาขายข่าว” ได้ไง?
ก็ประมาณนั้น….
ความล้มเหลวของประเทศและรัฐบาล คือสุขหรรษาของพวกข้า “มารรกเมือง”!
เรื่องไวรัส สายพันธุ์โคโรนา หรือโควิด-๑๙ “รุ่นออริจินัล” แตกหน่อ เป็นสายพันธุ์ดุร้ายต่างๆ
เปรียบก็เหมือน “ไส้เดือน” ที่ชอนไชเก็บกวาด “สิ่งชั่วร้าย” ทำลายดิน เพื่อคืนสุขภาพให้ดินสู่ความอุดมดังเดิม
เพราะมนุษย์ใช้สารเคมี “ฆ่าไส้เดือน” ในดินหมดนั่นแหละ
ทุกวันนี้ คำว่า “ทรัพย์ในดิน-สินในน้ำ” จึงหายไป มนุษย์นั่นแหละทำลาย “ชีวิตจึงอยู่ยาก”
ไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ก็ประมาณนั้น ตรองดูเถอะ ทั้งไส้เดือน ทั้งไวรัส ไม่มีใครสร้าง
หากแต่ “ธรรมชาติจัดสรร”!
ร่างกาย “ชีวิตมนุษย์” มาจากไหน ก็มาจาก ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ, อากาศ สู่ “สมดุล”
เมื่อมนุษย์ทำให้ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ, อากาศ “ขาดสมดุล” โลกนี้ คือชีวิต “มนุษย์-สัตว์-พืช” ก็จะอยู่ยาก
ธรรมชาติจึงส่ง “วิศวกรทิพย์” ในรูปแบบต่างๆ มาทำหน้าที่ซ่อมแซม บำรุง รักษา และกวาดล้าง “สิ่งชั่วร้าย” ที่เกินเยียวยาให้พ้นไป
เนี่ย…ผมสังเกตว่า “องค์การอนามัยโลก” หรือ WHO เขาเข้าถึงสัจจธรรมข้อนี้ คือ “ความเป็นจริงตามธรรมชาติ”
ดังนั้น เขาจึงบริหารอำนาจโดยไม่ใช่อำนาจแบบ “ก๊อดฟาเธอร์”
กรณี ลุงยงใช้สูตร ฉีดสลับยี่ห้อ “ซิโนแวค เชื้อตาย” เข็มหนึ่ง เข็มที่สองฉีด “แอสตร้า เซนเนก้า” virus vector”หรือกับเชื้อเป็น mRNA นั้น
ไม่ใช่บุ่มบ่าม-บ้าบอทำ โดยไร้หลักวิชาการ
หากแต่การันตีโดยเกียรติประวัติ “ศาสตราจารย์ นพ.ยง ภูุ่วรวรรณ” ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยคลินิกของไทย
ลุงยงไม่ใช่ดารา….
พวกไม้ไร้ราก ไม่รู้จัก แต่ไม้หลัก “วงการวิทยาการโลก” รู้จัก
ดังนั้น โลกรู้ WHO ก็รับรู้ ถึงการต่อแขน-ต่อขาทางวิชาการของศาสตราจารย์ยง ที่ประกาศ “แต่งงานข้ามสายพันธุ์”
จับ “เชื้อตาย” แต่งงานกับ vector หรือกับ mRNA”!
ดังนั้น จึงไม่เป็นความจริงที่บางสื่อออกข่าว WHO ห้าม ไทยใช้วัคซีนผสม
ข้อเท็จจริง กรณีฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ “ดร.โสมยา สวามีนาธัน” หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ WHO
เอ่ยระหว่างแถลงข่าว (๑๒ กค.) เมื่อมีคนถามเกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้น เธอตอบว่า
“มันเป็นเทรนด์ที่ค่อนข้างอันตรายเล็กน้อย, มันเป็นขอบเขตที่ปราศจากข้อมูล และเธอเขียนบนทวิตเตอร์ต่อมาว่า
“บุคคลใดๆ ไม่ควรตัดสินใจด้วยตนเอง หน่วยงานสาธารณสุขสามารถทำได้บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่”
“ยังต้องรอข้อมูลการศึกษาวัคซีนสลับชนิดของวัคซีนต่างยี่ห้อ จำเป็นต้องประเมินความสามารถในการกระตุ้นสร้างแอนติบอดีและความปลอดภัย”
นี้คืออะไร?
ก็คือ ทุกอย่างเกี่ยวกับไวรัสโควิดมันเป็น “โจทย์ใหม่” เหนือองค์ความรู้ WHO การแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ชีวเคมีทางการแพทย์ ขณะนี้
ต้องศึกษา วิจัย ค้นคว้า เรียนผิด-เรียนถูก ที่เรียกว่า “ทดลอง” เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ตามให้ทันโรคทั้งนั้น
ฉะนั้น ถ้าไม่ “แหกกรอบ-แหกตำรา” ไม่ต่อแข้ง-ต่อขาวิทยาการออกไป
แล้วชาติไหน จะปราบโควิดกลายพันธุ์ได้ล่ะ?
ในความรู้แค่มีในตำราเท่าๆ กัน บนฐานความเข้าใจนั้น WHO เพียงเตือน แต่ไม่มีองค์ความรู้บอกได้ว่า อย่างไหนใช่ และอย่างที่ลุงยง “สลับยี่ห้อฉีด” ไม่ใช่!?
ก็เหมือนวัคซีน “ทุกยี่ห้อ” คิดค้นผลิตใช้ฉุกเฉิน นำออกใช้ไม่เป็นไปตามกฎกติกา WHO ทั้งนั้น
ถ้า WHO บอก “ไม่ได้-ไม่ใช่”
WHO ก็ต้องบอกให้ได้ว่า “ต้องแบบไหน จึงได้-จึงใช่”
WHO ก็บอกไม่ได้อยู่ดี!
ในภาวะโรคล้ำหน้ามนุษย์ มันก็ต้องเสี่ยง “งมเข็มในมหาสมุทร” ไปด้วยกัน “ทั้งโลก” อย่างนี้แหละ
อย่างประเทศไทยเรา ถ้าพศ.๒๓๑๐ “สมเด็จพระเจ้าตากสิน” ไม่แหกค่ายกรุงศรีอยุธยา ที่กำลังถูกพม่าตีแตก
แล้วยังจะมี “ไทย” ให้พวกไอ้และอีสัส ได้ชังชาติ และมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ไอ้และอีสัส ได้มุ่งล้มเช่นตอนนี้หรือ?
เรียนตำรา “หัวทิ่ม-หัวตำ” ที่ได้ก็แค่ “ฉลาดตามตำราแบบโง่ๆ” จบแล้วไปสมัครเป็นจานมหา’ลัย รับจ้างไอ้โทนาฟปั่นหัวเด็กแลกวางบิลเลี้ยงชีพได้
ถ้าเรียนแล้วต่อยอด “สร้างตำรา” ให้คนอื่นเรียนตาม นั่นคือ “โง่นอกตำรา” แล้วใช้โง่นั้น ศึกษา-ค้นคว้า-ทดลอง ต่อไปเรื่อยๆ
โง่แบบนี้ โง่แบบ “ไอน์สไตน์” เมืองไทยหายาก
ส่วนมากมีแต่ “ฉลาดแบบโง่ๆ” สิงมหา’ลัย หลอกลูกศิษย์ไปตาย-ไปติดคุกแทนแทบทั้งนั้น
เมื่อวานเห็นรูป คนระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์แท้ๆ เชี่ยวชาญกฎหมายซะด้วย
แต่ไปนั่งกินอาหารโชว์กับสัตว์ที่ฝรั่งเศส!
เนี่ย..ตัวอย่าง เรียนตำราแล้ว “ฉลาดแบบโง่ๆ” สุดท้าย จะเหมือนหมามุดกระโถนปากแตร
ตอนมุด-มุดได้ แต่ตอนจะออก เอาหัวออกไม่ได้ ต้องวิ่งพล่านไปในสภาพ “หมาติดกระโถน”!
“ซิโนแวค” น่ะ อย่าใช้ความไม่รู้ แล้วเที่ยวไปด้อยค่า ว่าเหมือนน้ำเปล่า ฉีดแล้วกระตุ้นภูมิไม่ได้เชียว
จะบอกให้ ประเทศจีน พลเมือง ๑,๔๐๐ กว่าล้าน เขาฉีดวัคซีนอยู่ ๒ ยี่ห้อนี้เท่านั้น
“ซิโนแวค” ฉีดจีนตอนใต้ “เซี่ยงไฮ้” เมืองเศรษฐกิจใหญ่ของจีน เป็นต้น นี่เขาฉีดซิโนแวค
ส่วนจีนทางเหนือ “ปักกิ่ง” เมืองหลวง เป็นต้น เขาฉีด “ซิโนฟาร์ม” ทั้งหมด
แล้วคุณภาพต่างกันมั้ย?
ต่าง-ไม่ต่าง ผมไม่รู้ รู้แต่ว่า ฉีดคนละ ๒ เข็ม ฟรี ต่างชาติโดสละ ๑๐๐ หยวน ตัวเลขอัพเดท “ล่าสุด” ในจำนวนพลเมืองจีนกว่า ๑,๔๐๐ คน
ป่วยโควิด ๙๒,๑๑๙ คน รักษาหาย ๘๖,๙๘๒ คนและตาย ๔,๖๓๖ คน!
ไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสันแอนด์จอห์สัน แอสตร้า เซนเนก้า คนจีนไม่เคยได้ยิน ไม่รู้จัก และไม่สน
แค่ซิโนแวคกับซิโนฟาร์ม ๒ ยี่ห้อ คนพันสี่ร้อยล้าน ป่วยไม่ถึงแสน ตายไม่ถึงหมื่น แถมให้บวก “ตัวเลขปกปิด” สมมุติว่ามี มันก็ยังน้อยนิด
ใครที่ว่าเหมือนฉีดน้ำเปล่า ซิโนแวคเฮงซวย ก็ไอ้คนที่พูดนั่นแหละเฮงซวย ระวัง…จะถูก “ธรรมชาติจัดสรร”!
ที่จีนติดน้อย-ตายน้อย เพราะวัคซีนแค่ส่วนหนึ่ง
แต่ส่วนใหญ่ที่สำคัญทำให้รอด คือ
วินัย “เข้มงวด” เขาเคาะทุกประตูบ้าน ทุกอาคาร ทุกบริษัท-ห้างร้าน ทุกคอนโด ทุกโรงเรียน-มหา’ลัย
ต้องไป “ฉีดวัคซีน”
ด้วยประกาศิต “ท่านผู้นำสี” ตอนนี้ บารมีเทียบเท่าหรือเหนือกว่า “ประธานเหมา” ด้วยซ้ำ ไม่มีใครกล้าที่จะไม่ไปฉีด
และจีนทดลอง “เข็มเดียวเอาอยู่” กับทหารในกองทัพมาเรื่อยๆ คือเขาเตรียมรับมือโควิดกลายพันธุ์มาแต่ต้น
ยังไม่ปรากฏว่า วัคซีนสูตร “เข็มเดียวเอาอยู่” ของเขาเกิดปฏิกริยาด้านลบอันใด
นี่เป็นบทสะท้อนคิดของรัฐบาลไทยเรา “แมวสีไหนก็จับหนูได้”
ปัญหาคือ จะบริหารให้มีหนู “ครบ ๑๐ ล้านตัว” แต่ละเดือนตามสัญญาได้อย่างไร หรือไม่ เท่านั้น
“ปูพรม” ได้ ลุงตู่ก็ “เหาะได้” ครับ!