เปลว สีเงิน
ครับ….หมู่นี้ร้อนจัด
เลยหลบไปพักร้อนที่โรงพยาบาล กะว่าจะกดรีโมทไล่ช่องหาละครหลังข่าวดีๆ ดูเป็นเพื่อนนอนซัก ๒-๓ คืน
กลับซวย……
ดันไปเจอข่าว “หน้าเก่า” ในเสื้อกาวน์นักบุญ ที่เห็นหน้าแล้วคลื่นไส้ ออกมาเกรี้ยวกราดตวาดด่า “องค์การเภสัช” และรัฐบาลซะเละทะ เรื่องจัดซื้อโมเดอร์นา ตามที่เขาต้องการช้า
จากคลื่นไส้ เกือบอ้วก!
คงถูกจริตสื่อบางพวก-บางช่องนะ เห็นขยี้ขยำนำเสนอหมุนเวียนทั้งวัน-ทั้งคืน รายละเอียด “ฉบับย่อ” ค่อยคุยกัน
พักร้อนกลับร้อนหนัก เลยออกโรงพยาบาลมานั่ง-นอนที่สำนักงาน จิ้มคอมฯ เมาธ์กับแฟนๆ ดีกว่า
นึกว่าจะได้คุยกันเรื่องสบายใจ กลับเจอเรื่องตกอก-ตกใจ ไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก ที่ซอยกิ่งแก้ว ย่านบางพลี สมุทรปราการ เข้าอีก (๕ กค.๖๔)
บ้านเมืองเราระยะนี้ จะเรียกว่าพระศุกร์เข้า-พระเสาร์แทรก หรือทุกข์ซ้ำ-กรรมซัดวิบัติเป็น ก็ปานนั้น
โควิดก็กลายพันธุ์ จากอังกฤษเป็นอินเดีย “ติดง่าย-ตายเร็ว” แค่สิบกว่าวัน “สายพันธุ์อินเดีย” ไปเกือบครึ่งประเทศ!
แล้วนี่ โรงงานระเบิดอีก …….
ครึ่งค่อนวันยังดับไม่ได้ เม็ดโฟมพลาสติก มันเคมีโดยตรง เมื่อเกิดไฟไหม้ โรงงานก็น้องๆ “คลังระเบิด”
จึงตูมตามลามสนั่น!
ทำเอาเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ ควันพิษแผ่กระจายดำมืดจับท้องฟ้า ชาวบ้านในรัสมี ๕ กิโลเมตร ต้องอพยพหนีอลหม่าน
จากวันสู่คืน ยังดับไม่ได้ ผมก็ได้แต่ภาวนาเอาใจช่วยประเทศไทยและคนไทยทุกคน พวกเราต้องผ่านพ้นวิบากทุกข์เข็ญร่วมกันช่วงนี้ไปให้ได้
จิตอย่าตก สติต้องมั่น และเชื่อมั่นในชาติบ้านเมืองของเรา ร้ายกว่านี้เป็นหมื่น-ล้านเท่า ยังฟันฝ่าสู่ศิวิไลซ์ได้ แล้วแค่นี้จะถอดใจ
นั่น “ไม่ใช่ไทย” สายเลือดแท้แล้ว!
อย่าเพ่งโทษฝ่ายนั้น-ฝ่ายนี้ ไม่ใช่เวลาสมน้ำหน้า หรือสะใจ กลั่นแกล้งให้ร้ายกัน
ต้องช่วยกันครับ คนละไม้-ละมือ ช่วยทางกายและทรัพย์สินไม่ได้
แค่ส่ง “กำลังใจ” ก็เหลือล้นแล้ว!
ยามนี้ ขอเพียง “มีใจ” ให้กัน ไม่แบ่งฝ่าย-ไม่ขัดแย้ง ไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาซ้ำเติมเข้าไปในวิกฤติและปัญหาที่มีอยู่ ก็นับว่าเลือดที่เลี้ยงหัวใจ
คือ “สายเลือดไทย” ที่เข้มขึ้น
เงยหน้าจากบ้านเรา มองไปรอบๆ ถึงบ้านเมืองคนอื่นบ้าง ก็จะเห็นเขา “ทุกข์ซ้ำ-วิบัติเป็น” ไปตามๆ กัน
เวลาเกิดเหตุร้ายแรงๆ ในบ้านเรา ประเทศแรกต้องมองไป คือที่สหรัฐอเมริกา
ด้วยสายสะดือตรงกัน สหรัฐฯ กับรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ กว่าปี “ชาติกำเนิด” ไล่เลี่ยกัน
ดังนั้น “อะไรเกิด” จะคล้ายๆ กันและไล่เลี่ยกัน!
มองสหรัฐฯ ที่ประกาศ “ปลอดโควิด” แล้วตอนนี้นั่นน่ะ
มันแค่โปรปะกันดา”
คือโฆษณาชวนเชื่อ ตามสไตล์นักเลงใหญ่ แต่ในข้อเท็จจริง หลายต่อหลายเมืองยังหยำเหยอะเปรอะด้วยโควิด
แต่ตอนนี้ สหรัฐฯ ใช้ทฤษฏีอยู่ร่วม สร้างค่านิยมใหม่โหมโฆษณาใช้แนวคิด “โควิดเป็นเรื่องของธรรมชาติ”
ผมเห็นด้วยในหลักการนะ
การประยุกต์คิดเข้ากับหลักวิทยาศาสตร์มันก็ดีอย่าง คือเรื่องโรคระบาด ก็เหมือนกับทุกเรื่อง “เมื่อยื้อไม่อยู่ ก็ต้องปล่อยมือมันไป”
ยกให้มันเป็นเรื่อง “ธรรมชาติจัดสรร”!
หมายความว่าไง ก็หมายความว่า ในมิติ “พระเจ้าสร้างโลก” เมื่อสร้างเสร็จ ก็สร้างมนุษย์ สร้างสัตว์ สร้างพืช สร้างสิ่งมีชีวิต คู่กับโลก
จะให้อยู่ “ค้ำโลก-ค้ำฟ้า” ก็จะกลายเป็น “มนุษย์เจ้าโลก” ก็เลยส่ง “สิ่งมีชีวิต” อีกประเภทมาอยู่คู่กับมนุษย์และสรรพสิ่งมีชีวิต
เราเรียกสิ่งนั้นว่า “เชื้อโรค”!
เห็นมั้ย “โลก-โรค” ตัวเดียวกัน เรียกว่าชาติกำเนิด “บิดร-มารดาเดียวกัน”
มนุษย์-สัตว์ เกิดมาก็มีโรคเกิดตามมา กับพืชพันธุ์ทุกชนิดก็มี “โรคพืช” ตามมา
เมื่อโรคกำจัดรุ่นหนึ่งไป โลกก็จะส่งอีกรุ่นเป็นรุ่นใหม่มาสืบต่อไป จึงกิดมีคำว่า “รุ่นต่อรุ่น” ไงล่ะ
มามองในมิติเรา…
“มิติพุทธ” มีนัยว่า “กรรมจัดสรร” หรือ “เป็นไปตามกรรม”!
ตะวันตกตอนนี้ กำลังสร้างชุด “ความเชื่อใหม่” ไม่ต้องไปตื่นตกใจกับไวรัสโควิด ก็ให้มันระบาดไป
เมื่อมนุษย์สกปรก-เลอะเทอะถึงระดับหนึ่ง ธรรมชาติก็จะส่งโรคมากวาดล้างสิ่งสกปรกนั้นไปทีหนึ่ง
เป็นเรื่องธรรมชาติ
เป็นก็รักษา ไม่หายก็ตาย ไปซักพัก “๓-๔ ล้านเซลล์” ในร่างกายมนุษย์ มันก็จะปรับสภาพ ที่เรียก “ภูมิต้านทาน” คือความเสมอภาคกันขึ้นเอง
หมายความว่าไวรัสกับเซลล์มนุษย์เริ่มคุ้นเคยกันและปรับสัมพันธภาพเป็น “เพื่อนซี้” กอดคอกินอยู่ด้วยกัน
ต่อๆ ไป จากไวรัสกินคน ก็จะปรับเสมอภาคกับภูมิต้านทาน เป็น หวัด,ไอ,ไข้,จาม ภูมิแพ้รุ่นใหม่บ้าง เชื้อหวัดรุ่น นิว นอร์มอล บ้าง
ฝรั่งก็ซื้อวิตามินซี “มีทุกห้าง” มาอัดๆ แทนยาบ้าง ตบตูดด้วยแอลกอฮอล์ดีกรีแรงๆ เป๊ก-สองเป๊กบ้าง หวัดมันก็เซย์ กู๊ด บาย
ถ้าเป็นบ้านเรา…
จะไปยากอะไร ก็เข้าครัว คว้าหัวหอมสดขยี้เปลือกทิ้งเคี้ยวกร้วมๆซัก ๒-๓ หัว ตามด้วยส.ร.ถ.ซักกรึ๊บ-สองกรึ๊บ
สบาย หายเกลี้ยงโรค!
นี่…ตอนนี้ ฝรั่งเขาคติ “เมื่อปราบมันไม่อยู่ก็อยู่กับมัน” จะงอกองอขิงรอมันหายไป ตายหมดประเทศพอดี
จากดาวดวงนี้ไปเกิดอยู่ดาวดวงอื่น โรคมันก็ไม่หายไปไหน มันก็จะตามจากดาวโลก ไปเป็นโรคอยู่คู่กับมนุษย์ในดาวดวงนั้นเหมือนเดิม
วนเวียนเป็น “คู่เกิด-คู่ตาย” อยู่อย่างนี้ จนกว่าจักรวาลทั้งจักรวาล คืนสู่ความไม่มีจักรวาลนิรันดร
ดังนั้น ต่อจากนี้ เขาจะไม่วิตกจริต ตื่นเช้าขึ้นมา ยังไม่ทันล้างหน้า-ล้างตูด ก็ต้องรีบไปนับ
วันนี้ ป่วยใหม่เท่าไหร่ ตายเท่าไหร่ หายกลับบ้านแล้วเท่าไหร่?
แล้วก็ผวากัน กอเข่าเจ่าจุกอยู่กับบ้านกัน ไม่กล้าออกไปไหน ธุรกหิจการค้า ชีวิตการงานการไม่ต้องทำ รอแต่คนช่วย-เงินช่วย
แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาช่วย?
เพราะมีวัว-ควายช่วยไถนา จึงมีข้าวมาอยู่กินกัน
ฉันใด ก็ฉันนั้น
เพราะมีงาน มีธุรกิจการค้า มีการทำมาหากิน บ้านเมืองจึงมีเงินจากภาษีและรายได้การค้า มาเลี้ยงดูกัน
ด้วยวิถีเป็นจริงเช่นนี้ สหรัฐ-ตะวันตก เขาปรับวิถี “อยู่ร่วมกับโรค” ด้วยคติ “แล้วมันก็ชินไปเอง” กลับใช้ชีวิตปกติ
มันก็ดีไปอย่าง ไม่ผิด-ไม่ถูก ……..
เมื่อคนของเขาเข้าใจและรับผิดชอบชีวิตตัวเองตามวิถีที่พอใจและเข้าใจในสังคมบริหารและปกครอง
“เป็น-ตาย” ไม่โทษใคร ไม่ด่าใคร
เพราะนี่ เป็นวิถี “ที่เลือกแล้ว-พอใจแล้ว” เมื่ออยู่ ชีวิตก็ต้องเดินไป ตอนเกิด..รู้แล้ว และใครล่ะ จะรู้ตอนตาย?
ถ้าเจ่าจุก รอโควิดหายไปทั้้งโลก ซึ่งไม่รู้ชาติไหน ทุกคนก็จะ กลุ้มโว้ย..เซ็งโว้ย..รอรัฐบาลมาอุ้มโว้ย
แล้วก็โพสต์ ปั่นทวีต ปั่นเฟกนิวส์ สร้างเรื่อง ด่ารัฐบาล ด่าหมอ ด่าพยาบาล ด่าเพื่อน ด่าตัวเอง ด่าบ้านเมือง หน้ามืดถึงขั้นด้าพ่อล่อแม่ตัวเองก็มี
บางพวกอิจฉาสัตว์
เพราะโควิดไม่ติดมัน ก็เริ่มประพฤติเยี่ยงสัตว์ “ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ” มองว่าสัตว์มีอิสระเสรีภาพแล้วไม่เป็นโควิด
ก็เลยอยากมีอิสระเสรีภาพอย่างสัตว์ ออกเพ่นพ่านไปทั่ว ทำอย่างสัตว์เดรัจฉานแล้วไม่ติดโควิด
บอนด์ ทู บี ฟรี อะไรประมาณนั้น!
ใครพอใจอย่างนั้น ก็ว่าไป แต่ต้องเข้าใจไว้ด้วย หลักคิดฝรั่ง “ธรรมชาติจัดสรร”
แต่หลักคิดคติพุทธเรา จริงอยู่ ธรรมะคือธรรมชาติ แต่ด้วยพระสัมมาสัมโพธิญาน “พระญานหยั่งรู้เหนือโลก” ของพระพุทธองค์
ทรงมองทะลุเหนือ “ธรรมชาติจัดสรร” ลึกละเอียดลงถึงชั้น “กรรมจำแนกสัตว์” ในการเกิดและตาย อันเป็นปรมัตถ์
สรุป…….
แนว “ภูเก็ต แซนด์ บอกซ์” สอดคล้องธรรมชาติอยู่ร่วมแล้ว จงเดินหน้าโลด
ส่วนโควิด ฝรั่ง “ธรรมชาติจัดสรร” ส่วนไทย “กรรมจัดสรร” แล้วอยู่กับมันอย่างญาติ
“ดี-ชั่ว อยู่ที่ตัวทำ
“เชื่อหมอ-เชื่อกรรม” ขนาดไหน เป็นเกณฑ์ชี้ขาดครับ!