ต้องอยู่ร่วมกับโควิด-ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

อย่าเพิ่งตกใจ

            ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-๑๙ รายใหม่ วานนี้ (๒๘  มิถุนายน) ๕,๔๐๖ ราย ดูว่ามากแต่ ความมากในกรณีนี้มีข้อดี

ที่เห็นเยอะๆ เป็นเพราะการตรวจหาเชิงลึก

            เมื่อเจอเยอะโอกาสป้องกันก็เยอะตาม

            ดีกว่าปล่อยผู้ติดเชื้อยังไม่แสดงอาการ หรือไม่แสดงอาการ นำเชื้อไปติดคนอื่น

            โควิดทำให้เราต้องปรับทัศนคติกันใหม่ในหลายด้านครับ

            การกดตัวเลขไปอยู่หลักร้อย ไม่ง่ายแน่นอน ถ้าตั้งเป้าจะทำให้ได้ต้องเอาอย่างจีน แต่ในความจริงเป็นไปได้ยาก เพราะจากการสั่งล็อกเล็กๆ ๑๐ จังหวัด รัฐบาลยังถูกขุดโคตรขึ้นมาด่า

            ก็ไม่มีทางอื่นครับนอกจากต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโควิด โดยมีวัคซีนเป็นตัวช่วย

            ลองดูตัวอย่างจากสิงคโปร์ได้ครับ

            ลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรี สิงคโปร์ ประกาศผ่านเฟซบุ๊กว่า

            ….รัฐบาลสิงคโปร์ตั้งเป้าหมายจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-๑๙ ครบ ๒ เข็ม ให้แก่ประชากรจำนวน ๒ ใน ๓  ของประเทศ ก่อนวันชาติ ๙ สิงหาคม นี้

            การฉีดวัคซีนคือกลยุทธ์สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคโควิด-๑๙ ที่ยังแพร่ระบาดอยู่ในประเทศได้….

            นั่นคือการบริหารจัดการของสิงคโปร์ประเทศเล็กๆ มีพลเมืองเพียง ๕.๕ ล้านคน รายได้ต่อหัวอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก

            สำหรับไทยมีพลเมือง ๗๐ ล้านคน วางเป้าหมายฉีดเข็มแรกให้พลเมืองร้อยละ ๕๐ ภายในเดือนตุลาคม พร้อมกับเปิดประเทศตามนโยบายของรัฐบาล

            ส่วนเข็ม ๒ ได้ครบร้อยละ ๕๐ เมื่อไหร่ ยังไม่มีการวางเป้าหมาย แต่ก็มีประชาชนได้ฉีดแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ

จนถึงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ฉีดเข็ม ๒ ไปแล้ว ๒,๖๐๙,๖๖๑  คน

            รวมเข็ม ๑ เข็ม ๒ ขณะนี้ฉีดไปแล้ว ๙,๑๔๗,๕๑๒ โดส ถือว่ายังอยู่ในเป้าหมาย

            จะเห็นได้ว่ารัฐบาลสิงคโปร์เริ่มบอกกับประชาชนว่า ไม่อาจขจัดไวรัสโควิดให้หมดไป

            กระนั้นก็ตามสามารถบริหารจัดการให้เหมือนไข้หวัดธรรมดาได้

            แต่การอธิบายแบบนี้กับคนไทยอาจมีปัญหา เพราะคนบางส่วนมีธงอยู่ที่การไล่รัฐบาล ฉะนั้นทางแก้ปัญหาสำหรับคนกลุ่มนี้คือการแก้ปัญหาการเมือง เพื่อตอบสนองความต้องการทางการเมือง

            เมื่อนำการเมืองมาเป็นเรื่องเดียวกับโควิด ความยุ่งยาก และซับซ้อนจึงตามมา

            ยกตัวอย่างการประกาศให้ ๑๐ จังหวัด เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด “สีแดงเข้ม”

            จากเดิมที่มีเพียง ๔ จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร  นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ

            โดยเพิ่มเติมจังหวัดสมุทรสาคร นครปฐม และ ๔  จังหวัดชายแดนใต้ สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีผลบังคับใช้ ๒๘ มิถุนายน

            มีการประโคมในแง่ร้ายเกินจริง จนกลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่รัฐบาลต้องเผชิญ

            ประเด็นไทย สิงคโปร์ คุณหมอเฉลิมชัย (นพ.เฉลิมชัย  บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข  วุฒิสภา) เขียนให้อ่านน่าสนใจทีเดียวครับ

            “…ต่างจิตต่างใจ ลางเนื้อชอบลางยา ชาวสิงคโปร์แห่ต่อคิวฉีดวัคซีน Sinovac แบบเสียเงิน ทั้งที่มีวัคซีน  Pfizer และ Moderna ให้ฉีดฟรี ปัญหาเรื่องการเลือกวัคซีนว่า บริษัทไหน เทคโนโลยีอะไร จะดีกว่ากัน ยังคงเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้นในหมู่ประชาชนทุกประเทศทั่วโลก

            สำหรับประเทศไทยเราเอง มีประชาชนส่วนหนึ่ง ที่มีความมั่นใจในวัคซีนของสหรัฐอเมริกาที่ใช้เทคโนโลยี  mRNA ของบริษัท Pfizer และ Moderna และไม่มั่นใจในวัคซีนของจีน ที่ใช้เทคโนโลยีเชื้อตาย ของบริษัท Sinovac หรือ Sinopharm จนเกิดเหตุการณ์ ชะลอการฉีดวัคซีนของจีนไว้ก่อน และจะรอฉีดวัคซีนของสหรัฐฯ แม้จะต้องเสียเงินก็ตาม

            ขณะเดียวกันในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนเหมือนประเทศไทย และมีระดับการศึกษาตลอดจนระดับเศรษฐกิจไม่ได้ด้อยกว่าประเทศไทย (อาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำ) กลับมีความเชื่อเรื่องวัคซีนของประชาชนส่วนหนึ่ง ไปในทางตรงกันข้าม

            โดยมีปรากฏการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีชาวสิงคโปร์จำนวนมาก ได้แห่กันไปจองคิว บางคนถึงกับไปนอนจองที่ตั้งแต่ตีสอง เพื่อจะฉีดวัคซีน Sinovac ของจีน โดยจะต้องเสียเงินเพิ่ม ๗.๕๐-๑๘.๖๐ เหรียญสหรัฐ ในขณะที่รัฐบาลสิงคโปร์ ได้จัดฉีดวัคซีนของ Pfizer และ  Moderna ให้ฟรีอยู่แล้ว

            ขณะนี้รัฐบาลสิงคโปร์ ได้อนุญาตให้ ๒๔ สถานพยาบาลเอกชน นำเข้าวัคซีน Sinovac ของจีนจำนวน  ๒๐๐,๐๐๐ โดส มาฉีดเป็นวัคซีนทางเลือก และสามารถเก็บเงินกับประชาชนได้ เป็นกรณีตรงกันข้ามกับประเทศไทยเลยทีเดียว

            โดยเหตุผลที่ชาวสิงคโปร์ส่วนหนึ่งแย่งกันมาจองคิววัคซีน ซึ่งศูนย์บางแห่งมีวัคซีนเพียง ๒๐๐ โดส แต่คนมาจองถึง ๑,๐๐๐ คน และเกิดการแห่เข้าคิวแบบล้นหลาม จนมีชาวสิงคโปร์คนหนึ่งยอมจ่ายเงินถึง ๑,๐๐๐ เหรียญ เพื่อที่จะได้คิวการฉีดวัคซีนจีนของ Sinovac

            ที่คนสิงคโปร์แห่มาสนใจวัคซีน Sinovac นั้น มาจากเหตุผลดังนี้

            ๑.เชื่อในเทคโนโลยีเชื้อตายของวัคซีน Sinovac  ว่าจะสร้างความสบายใจปลอดภัยในระยะยาว ดีกว่าเทคโนโลยีใหม่เอี่ยมแบบ mRNA ของ Pfizer และ  Moderna

            ๒.คนที่ฉีดวัคซีนฟรีของสิงคโปร์ทั้ง Pfizer และ  Moderna มีจำนวนหนึ่งที่เกิดแพ้หรือมีผลข้างเคียงมาก ก็หลบมาฉีดวัคซีนของจีน ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

            ๓.มีรายงานประสิทธิผล (Effectiveness)  การป้องกันโรคในโลกแห่งความเป็นจริง (Real  world) ของวัคซีนเทคโนโลยีเชื้อตาย ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ  ในขณะที่ประสิทธิผลในโลกแห่งความเป็นจริงของวัคซีนเทคโนโลยี mRNA ดูจะน้อยลงเป็นลำดับ

            ๔.คนที่จะเดินทางไปจีน ถ้าฉีดวัคซีนของจีนครบ ๒  เข็ม จะไม่ต้องกักตัว มีชาวสิงคโปร์เป็นจำนวนมากที่เป็นเชื้อสายจีน จึงตัดสินใจฉีดวัคซีนของ Sinovac เป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ ระหว่างสิงคโปร์กับไทย ซึ่งมีความสนใจและต้องการที่จะฉีดวัคซีนแบบตรงกันข้าม จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

            ทำให้พบความจริงที่ว่า แต่ละคน ต่างมีเหตุมีผล และความคิด ตลอดจนความเชื่อของตนเอง ในการเลือกวัคซีนที่แตกต่างกัน คือ ต่างจิตต่างใจ หรือลางเนื้อชอบลางยา นั่นเอง….”

            ครับ….ถ้าไม่มีเหตุผลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง  ความเข้าใจในเรื่องวัคซีนของคนไทยก็อาจไม่ต่างจากชาวสิงคโปร์เท่าไหร่ เพียงแต่กลับข้างกันเท่านั้นเอง

            เช่นเดียวกัน เราก็อาจมีความรู้สึกไม่ต่างจากชาวมาเลเซียสักเท่าไหร่ กับการล็อกดาวน์ประเทศ

            สถานการณ์ล่าสุดของมาเลเซียคือ ขยายเวลาล็อกดาวน์ทั่วประเทศ ออกไปอีก

            ตัวชี้วัดว่าจะผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ในมาเลเซียหรือไม่ มี ๓ ปัจจัย คือ จำนวนผู้ป่วยต้องลดลงน้อยกว่า ๔  พันคนต่อวัน มีจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยหนักอยู่ในปริมาณปานกลาง และมีประชาชนได้รับวัคซีนป้องกันโควิด ครบสองโดส จำนวน ๑๐ เปอร์เซ็นต์

            วานนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในมาเลเซียคือ ๕,๕๘๖ คน  เสียชีวิต ๖๐ ราย

            รวมยอดผู้ติดเชื้อทั้งหมด ๗๓๔,๐๔๘ คน

            ฉีดวัคซีนไปแล้ว ๗.๐๔ ล้านโดส

            พลเมืองเขาน้อยกว่าเราครับ แค่ ๓๒ ล้านคน

            ดูเพื่อนบ้านแล้วย้อนดูไทย

            AstraZeneca ส่งมอบวัคซีนให้ไทยแล้ว ๔.๗  ล้านโดส และจะส่งเพิ่มอีก ๑.๓ ล้านโดสในสัปดาห์นี้ ตามแผนส่งมอบ ๖๑ ล้านโดส

             AstraZeneca เคลมว่าวัคซีนมีประสิทธิผลลดความรุนแรงของโควิด ในระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้มากถึง ๘๐% หลังจากการฉีดเข็มแรก

            ขณะที่คณะกรรมการวิชาการในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ และอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ สรุปผลการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนของบริษัทซิโนแวคช่วงที่มีการระบาดของสายพันธุ์อัลฟา (สายพันธุ์อังกฤษ)

            พบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีน ครบ ๒ เข็มอย่างน้อย ๑๔ วัน  มีประสิทธิผลในการลดการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อัลฟาได้ร้อยละ ๗๑-๙๑

            ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ อย่าปล่อยให้สังคมอยู่ในภาวะตื่นตระหนก เพราะการปั่นกระแสเพื่อหวังผลทางการเมือง

            จากนี้ไปต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโควิดครับ

Written By
More from pp
กองทัพบกร่วมกิจกรรม “เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 12 สิงหาคม 2563” ณ สวนสันติชัย
วันนี้เวลา 08.00 น. พันเอก อานุภาพ ศิริมณฑล รองเลขานุการกองทัพบก พร้อมด้วยข้าราชการกองทัพบก ร่วมกับ ชุมชนเขตพระนคร ผู้ประกอบการร้านค้า ภาครัฐและเอกชน...
Read More
0 replies on “ต้องอยู่ร่วมกับโควิด-ผักกาดหอม”