นายกรัฐมนตรีเร่งเดินหน้ายกระดับความเป็นอยู่ประชาชนให้มีที่อยู่อาศัย มีที่ดินทำกิน พร้อมร่วมอนุรักษ์ป่าโดยยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” โดยปี 2564 มีแผนจัดตั้งป่าชุมชนเพิ่มอีก 300 แห่งจากที่ได้จัดตั้งไปแล้ว 11,327 ป่าชุมชน พื้นที่ 6.29 ล้านไร่ โดยความก้าวหน้าในการดูแลประชาชนให้มีพื้นที่ทำกินและยกระดับความเป็นอยู่ ภายใต้การบริหารราชการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ได้เดินหน้าการพัฒนาที่ดินเพื่อประชาชนมีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินอย่างมั่นคง อีกทั้งมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่า โดยยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี”
โดยได้ริเริ่มนโยบายใหม่ที่ครอบคลุมหลายมิติทั้ง การแก้ไขกฎหมาย พระราชบัญญัติป่าชุมชน ช่วยไม่ให้ชาวบ้านที่เก็บของป่ามาขายต้องถูกจับเหมือนในอดีต และให้อำนาจชาวบ้านในชุมชนในการตัดสินใจดูแลและใช้ประโยชน์จากป่าไม้ของชุมชนตัวเอง
ณ ปัจจุบัน มีการประกาศจัดตั้งป่าชุมชนไปแล้ว 11,327 ป่าชุมชน พื้นที่ 6.29 ล้านไร่ และมีแผนการจัดตั้งป่าชุมชนใหม่ในปี 2564 อีก 300 ป่าชุมชน
ทั้งนี้ แนวคิด “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและประชาชนที่จะตอบโจทย์ให้มีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินอย่างมั่นคง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กลไกภาครัฐจึงต้องขับเคลื่อนในทิศทางที่ส่งเสริมโอกาสแก่ประชาชน ลดความขัดแย้ง ไม่ขัดกฎหมาย โดยภาพรวมของการดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้ชุมชนให้สามารถอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ /ป่าชายเลน /ที่สปก. /ที่ราชพัสดุ /ที่สาธารณะประโยชน์
นับตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน จัดสรรให้แล้ว 60,419 ราย 74,612 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 665,000 ไร่
“รัฐบาลไม่ได้คำนึงแค่การมีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินแต่ยังได้ดำเนินการอย่างบูรณาการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงน้ำ ไฟฟ้า และถนน รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาอาชีพที่เหมาะสม เช่น การปลูกต้นไม้ในพื้นที่เป็นอาชีพเสริม เพื่อชุมชนมีรายได้เพิ่มจากโครงการคาร์บอนเครดิตอีกด้วย”