วันที่ 13 พ.ย. 63 เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลความคืบหน้าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชน
โดยเผยรัฐบาลอยากเห็นประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมช่วยกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ หลังที่คนไทยร่วมมือกันควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
จนปัจจุบันถือว่าไทยสามารถก้าวข้ามปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้แล้ว ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ผลักดันการจัดหาวัคซีนผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ สนับสนุนงบประมาณให้กับบริษัทวิจัยภายในประเทศ จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการร่วมผลิตวัคซีนกับต่างประเทศ และการจัดซื้อ เพื่อนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศในอนาคต
โดยปัญหาที่ยังต้องการการแก้ไข คือ ปัญหาเศรษฐกิจ หลายมาตรการที่ดำเนินการแล้วประสบความสำเร็จทั้ง โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ช้อปดีมีคืน ก็จะมีการต่อยอดต่อไป รวมทั้งปิดช่องโหว่โครงการที่ทำให้เกิดปัญหา
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการแสดงความคิดเห็นต่างทางการเมืองว่า รัฐบาลไม่ได้ปิดกั้น
แต่อยากเห็นให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ พบว่าในโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ข่าวปลอม หรือ Fake News รวมทั้งการเสียดสีหรือการชุมนุมที่ไม่ได้คำนึงถึงขนบธรรมเนียมของประเทศไทยอันดีที่มีมาอย่างยาวนาน
จึงอยากเชิญชวนกลุ่มผู้เห็นต่าง นำเสนอแนวคิดเพิ่มเติม นอกเหนือจากประเด็นการเมือง โดยเฉพาะขอให้ช่วยกันเสนอข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เช่น มาตรการหรือโครงการต่าง ๆ ยืนยันว่า รัฐบาลยินดีรับฟังข้อเรียกร้องที่สามารถนำมาเป็นแนวทางให้ประเทศไทยได้สามารถก้าวผ่านวิกฤตเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รัฐบาลก็พร้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดความเป็นรูปธรรม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังย้ำว่า ข้อเรียกร้องต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องดำเนินการด้วยกลไกของรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ด้วยการพูดคุย หารือ รัฐบาลพร้อมที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบในการเจรจา เพื่อหาทางออกทางการเมือง
ซึ่งผู้ชุมนุมสามารถเข้ามามีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ ในแนวทางที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งสื่อมวลชนเองก็มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของผู้ชุมนุมให้รัฐบาลได้รับทราบด้วยเช่นกัน