ผักกาดหอม
ขอแสดงความยินดีกับคณะก้าวหน้า
ได้เก้าอี้เทศมนตรี ๑๒ เก้าอี้ จาก ๒,๔๗๒ แห่งทั่วประเทศ
คิดเป็น ๐.๕ เปอร์เซ็นต์
อย่าเข้าใจผิด ไม่ได้บูลลี หรือเยาะเย้ย กระแนะกระแหน แต่เทศมนตรี ๑๒ แห่งนี้ จะเป็นที่ฝึกงานสำหรับนักการเมืองจากคณะก้าวหน้า
คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครนายกเทศมนตรีทั้งประเทศ ประมาณร้อยกว่าแห่ง
แยกเป็นนายกเทศมนตรีนคร ๑๑ แห่ง นายกเทศมนตรีเมือง ๒๕ แห่ง และนายกเทศมนตรีตำบล ๖๙ แห่ง
ผลนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ คณะก้าวหน้า ซิวเก้าอี้ระดับ “นายกเทศมนตรีตำบล” ไป ๑๒ แห่ง
ตามนี้
ลำพูน ๑ แห่ง
ร้อยเอ็ด ๓ แห่ง
หนองบัวลำภู ๓ แห่ง
อุดรธานี ๒ แห่ง
มุกดาหาร ๒ แห่ง
สมุทรปราการ ๑ แห่ง
ภาคใต้ ภาคตะวันออก ไม่ได้แม้ที่นั่งเดียว
แต่นับว่าดีกว่าการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่พรรคก้าวไกล ไม่ได้ นายก อบจ. แม้เก้าอี้เดียว
ทางคณะก้าวหน้าเขาประกาศชัดเจนว่า ๔ ปีนับจากนี้ จะพิสูจน์ให้เห็นผู้บริหารท้องถิ่น สามารถสร้างอนาคตใหม่ให้กับประชาชนได้
ก็ดีครับ เพราะอย่างน้อยจะได้แสดงผลงานให้ประชาชนได้รับรู้ ก่อนจะก้าวขึ้นเป็น ผู้บริหารประเทศในอนาคต
สิ่งที่ประชาชนในพื้นที่ที่มีนายกเทศมนตรีจากคณะก้าวหน้าบริหารต้องเข้าใจในเบื้องต้นคือ ท้องถิ่นของท่านจะถูกบริหารโดยกลุ่มการเมือง
“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เคยบอกว่า “เราทำในระดับประเทศไทยไม่ได้ เราจะต้องทำในระดับท้องถิ่นให้เห็น เพื่อให้ประชาชนเห็นถึงความตั้งใจ เห็นฝีไม้ลายมือ นี่คือวัตถุประสงค์แรก”
“เราไม่ได้รับเลือกในตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลยสักจังหวัดหนึ่ง แน่นอนที่สุด นี่คือความผิดหวังของพวกเรา พวกเราเจ็บปวด เพราะเราส่ง ๔๒ จังหวัด
แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเราก็คิดว่า ๕ จังหวัด พอเป็นไปได้”
ฉะนั้นถือเสียว่า ตำแหน่ง นายกเทศมนตรีตำบล ๑๒ แห่งนี้ จะเป็นบทพิสูจน์ว่า ในระดับตำบล “ธนาธร” กับคณะทำได้ดีแค่ไหน
หากประชาชนพอใจ โอกาสที่จะบริหารเทศบาลเมือง เทศบาลนคร ในภายภาคหน้านั้นสดใส
และจะเพิ่มโอกาสให้สามารถเข้าไปอวดฝีไม้ลายมือ ในองค์การบริหารส่วนจังหวัด ส่วนตำบลในอนาคต
แต่หากจะฝ่าด่านไปให้ได้ “ธนาธร” ต้องเรียนรู้จากอดีต
ที่จริง “ธนาธร” ถอดบทเรียนความพ่ายแพ้มาตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม คือวันเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด ปีที่แล้ว
ปัจจัยหลักคือวาทกรรม “ล้มเจ้า”
แต่ “ธนาธร” ถอดแค่ครึ่งเดียว คือครึ่งที่เข้าข้างตัวเอง
วาทกรรมล้มเจ้า ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นมาจากการเมืองฝ่ายตรงข้าม เพื่อใช้โจมตีทางการเมือง
แต่เป็นวาทกรรมที่เกิดจากพฤติกรรมของ คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล และกลุ่มมวลชนที่ให้การสนับสนุน
เมื่อไม่แก้พฤติกรรม ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเทศบาลจึงเป็นเรื่องของการลงโทษโดยประชาชน
คนที่เริ่มปรับตัวแล้วคือ สมยศ พฤกษาเกษมสุข, ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม (หมอลำแบงค์), จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่ ดาวดิน)
วานนี้ทั้ง ๓ คนแถลงในศาลไปในทิศทางเดียวกันว่า
“หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะไม่พูดพาดพิงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อีก”
โดยเฉพาะ หมอลำแบงค์ ชัดเจนกว่าใคร รับปากจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองและพูดพาดพิงสถาบันอีกอย่างเด็ดขาด
จะไปประกอบอาชีพร้องหมอลำเพื่อหาเลี้ยงชีพต่อไป
ฟังแล้วก็คิดตาม
จะบอกว่าเป็นการยื่นข้อเสนอเอาตัวรอดก็ได้
เป็นการสารภาพผิดก็ได้
แต่แนวโน้มของ ๓ คนนี้ถือว่าค่อนข้างดี เพราะเป็นข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป
บวกกับศาลท่านได้บันทึกไว้เพื่อประกอบดุลพินิจในการปล่อยชั่วคราว ว่าทั้ง ๓ ได้เสนอเงื่อนไขที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมพูดพาดพิงถึงสถาบัน หากได้รับการปล่อยชั่วคราว
ยินยอมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด
ไม่ว่าจะเป็นการติดเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) หรือห้ามออกนอกเขตกำหนดและจะมาศาลตามนัดทุกนัด
วันที่ ๘ เมษายนนี้รู้เรื่องครับ
ผิดกับ “รุ้ง-เพนกวิน”
“รุ้ง” ใช้วิธีขู่ศาล
“หากไม่ได้รับการประกันตัว จะอดอาหารเป็นวันแรก”
ใช้วิธีเดียวกันกับ “เพนกวิน” งดอาหาร ดื่มแค่น้ำเปล่ากับเกลือแร่
ขณะที่ “เพนกวิน” โดยแม่เพนกวิน ส่งคำร้องให้ศาลอาญาออกคำสั่งย้ายตัวลูกชายไปกักขังที่โรงพยาบาลพระรามเก้า
คำร้องบอกว่า
“เพนกวิน” มีสภาพร่างกาย ทรุดโทรมอย่างมาก และมีอาการที่น่าวิตก จนอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิต ซึ่งสภาพของสถานกักขังกลาง ไม่สามารถดูแลได้
กรณี “เพนกวิน” แก้ปัญหาไม่ยาก และไม่ต้องรบกวนโรงพยาบาลพระรามเก้า ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ชื่อ “พจมาน ณ ป้อมเพชร”
แค่สั่งอาหารร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขังไปกินให้อิ่ม จะได้มีแรงสู้ต่อ
เพราะศึกนี้อีกยาวนาน
อย่าให้คนอื่นเขาค่อนแคะว่าอดอาหารเพราะอยากไปนอนโรงพยาบาลแทนเรือนจำเลย มันไม่ใช่วิสัยของนักสู้
ครับ…ก็พอหอมปากหอมคอ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และง่ายๆ หากยอมรับเงื่อนไขประกันตัว โอกาสได้รับการปล่อยตัวสูง
หากไม่ยอมรับ อย่าฝันจะได้นอนห้องแอร์ในโรงพยาบาลหรู
และมาตรฐานนี้ใช้กับทุกคน
ไม่เฉพาะ “เพนกวิน”.